ผบ.ตร.เผยเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุระเบิดเซ็นทรัลสมุยเพิ่มอีก 2 คน ยอมรับ สั่งจับตาความเคลื่อนไหวทุกกลุ่มการเมืองในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ยอมรับ “บิ๊กจิ๋ว” เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้เป็นประธานงานเลี้ยงสังสรรค์ครบรอบ 7 ปี การก่อตั้งชมรมปิยะมิตรไทย
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ลานจอดรถห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่าเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมามีการประชุมสั่งการนโยบายและวางแนวทางการคลี่คลายคดีดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดคลี่คลายคดี เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการปฏิบัติงานให้ตรงกันในการคลี่คลายคดีให้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม คดีนี้หลังจากที่มีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ไปแล้ว 6 คน ในเร็วๆ นี้ก็เตรียมจะออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน เนื่องจากตอนนี้มีพยานหลักฐานเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามีส่วนรู้เห็นและมีส่วนร่วมในการก่อเหตุในวันนั้น มีทั้งพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และประจักษ์พยานที่ชี้ชัดว่าทั้งหมดร่วมอยู่ในขบวนการ
อย่างไรก็ดี การปฏิบัติงานเพื่อคลี่คลายคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปร่วมสอบปากคำซักถามผู้ต้องสงสัยที่ควบคุมตัวไว้ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารด้วย ส่วนกระบวนการสืบสวนสอบสวนจะใช้ระยะเวลายาวนานแค่ไหนนั้นไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากต้องรอให้มีพยานหลักฐานที่แน่นหนารัดกุมจะได้สามารถขยายผลไปถึงตัวผู้บงการให้ได้ อีกทั้งผู้ต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้และนำมาสอบสวนแต่ละคนไม่ใช่ธรรมดา กล่าวโดยสรุปขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุคาร์บอมบ์โดยกฎหมายพิเศษได้แล้วประมาณ 10 กว่าคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยหมายจับตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 (1) แล้ว 2 คนจากทั้งหมด 6 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้สามารถระบุได้หรือไม่ว่าผู้ต้องสงสัยที่ออกหมายจับเป็นสมาชิกกลุ่มขบวนการใดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ว่าผู้ต้องสงสัยทั้งหมดเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการใด ต้องรอให้มีพยานหลักฐานที่แน่ชัดแน่นหนาก่อนจะไปกล่าวหากลุ่มใด เนื่องจากจะเป็นการไปสร้างเครดิตให้กับกลุ่มเหล่านั้น รวมถึงหากระบุผิดพลาดอาจกลับกลายเป็นการกระตุ้นขบวนการดังกล่าวให้โกรธแค้นและตอบโต้เจ้าหน้าที่ ทั้งยังอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไปกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสี จึงต้องรอให้ทุกอย่างแน่ชัดตามพยานหลักฐานที่ปรากฏก่อน
เมื่อถามถึงกระแสข่าวกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ส่วนตัวได้รับรู้กระแสข่าวดังกล่าวจากสื่อมวลชนต่างๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลรายงานว่าเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิตได้เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อไปเป็นประธานในงานเลี้ยงสังสรรค์ครบรอบ 7 ปี การก่อตั้งชมรมปิยะมิตรไทย และรำลึกครบรอบ 28 ปี การเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย ของอดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ที่โรงแรมลีการ์เด้นส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจและทหารก็ได้มีการเฝ้าระวังจับตาการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เจาะจงที่กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดหรือบุคคลใดเป็นกรณีพิเศษ แต่ได้เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม หากการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิตเป็นการจัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์ตามประสาผู้ที่มีความสนิทสนมกันปกติไม่ได้สร้างความเสียหายก็สามารถกระทำได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องเฝ้าระวังจับตาไปตามหน้าที่
ต่อข้อถามว่าความเคลื่อนไหวของนักการเมืองในพื้นที่ที่พบก่อนหน้านี้เป็นนักการเมืองระดับใด พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เมื่อมีการพบปะพูดคุยหรือทำกิจกรรมของนักการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วมีเหตุเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ต้องนำมาเป็นประเด็นในการสืบสวนสอบสวน โดยเมื่อมีความเคลื่อนไหวขึ้นและมีเหตุเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ความเคลื่อนไหวนั้นก็ต้องตรวจสอบดูให้ลึกว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยงหรือเข้าไปมีกิจกรรมร่วมอยู่หรือไม่ และบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในข่ายที่น่าเชื่อได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจหรือให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหรือไม่อย่างไร ก็ต้องวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมหรือพบปะพูดคุยกันของนักการเมืองในพื้นที่ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลเหล่านั้นมาเพื่อพูดคุยหรือมาทำกิจกรรมใดกัน และหากเป็นจังหวะเดียวกับที่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะไปห้ามไม่ให้สังคมหรือแม้กระทั่งสื่อมวลชนต่างๆ คิดไปได้ว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุด้วย จึงต้องสืบสวนให้ชัดเจนต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร.กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในวันครบรอบ 11 ปี เหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี ในวันนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้มีการเพิ่มมาตรการในการตรวจค้น ตรวจตราเฝ้าระวังในสถานที่สำคัญ พร้อมวางกำลังตามจุดเสี่ยงต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้ามาก่อเหตุความรุนแรงขึ้นได้ โดยเบื้องต้นยังไม่มีรายงานการเตรียมก่อเหตุรุนแรงใดๆ ขึ้น