แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ให้การปฏิเสธ ขอสู้คดีชุมนุมเรียกร้องดินแดนปราสาทเขาพระวิหาร ปี 54 ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ พร้อมขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตและนัดตรวจหลักฐานอีกครั้ง 19 มิ.ย.นี้
ที่ศาลแขวงดุสิต ถ.บรมราชชนนี วันนี้ (20 เม.ย.) ศาลนัดสอบคำให้การคดี อ.607/2548 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (ดุสิต) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายประพันธ์ คูณมี, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สมณะโพธิรักษ์, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายเทิดภูมิ ใจดี, นายพิภพ ธงไชย, นายรัชต์ยุตม์ หรืออมร ศิรโยธินภักดี, นายทศพล แก้วทิมา แกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ รวม 10 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฝ่าฝืนประกาศและข้อกำหนดห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่หรือสถานที่ที่กำหนด ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
กรณีที่พนักงานอัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2554 คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศให้พื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตปทุมวัน เขตดุสิต และเขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี เป็นพื้นที่มีเหตุการณ์กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งจำเลยทั้งสิบคนได้ร่วมกันตั้งเวทีชุมนุมและปิดการจราจรบนถนนถนนราชดำเนินนอก บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ โดยใช้ชื่อกลุ่มเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้ตั้งแต่เวทีชุมนุมที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และบรรดาแกนนำได้สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการบริหารประเทศของรัฐบาลกรณีความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เหตุเกิดที่ แขวงดุสิตและเขตดุสิต กทม.
โดยวันนี้จำเลยกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้ง 10 คนเดินทางมาศาล จากนั้นศาลได้สอบถามจำเลยว่าจะให้การอย่างไร ทั้งหมดให้การปฏิเสธ ทั้งนี้จำเลยได้แถลงขอสืบพยานคดีลับหลัง ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตและนัดตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลังนายประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า จำเลยทั้งสิบคนให้การปฏิเสธและขออนุญาตศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตเพราะเป็นคดีไม่ร้ายแรง แต่คดีนี้เพิ่งจะมายื่นฟ้องล่าช้า เพราะทางอัยการแจ้งว่าก่อนหน้านี้เคยมีคดีผิดพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ของกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วทางอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาทางสำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทบทวนใหม่ ในที่สุดจึงมีมติให้ฟ้องหมดทุกฝ่าย ทั้งที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีเหตุรุนแรง ไม่มีการเผา ไม่มีการจลาจล ก็เลยต้องโดนหางเลขไปด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะเป็นการชุมนุมรวมพลังเพื่อปกป้องแผ่นดิน โดยเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ให้ยกเลิกเอ็มโอยู พ.ศ. 2543 ให้รัฐบาลถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกและให้ทหารขณะนั้นขับไล่ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่ยึดครองแผ่นดินไทยบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร จะเห็นว่าเราชุมนุมเพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศเป็นหลัก จึงไม่รู้สึกกังวลในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด ขณะเดียวกันฝ่ายอัยการโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานที่จะนำสืบ จำนวน 67ปาก ส่วนฝ่ายจำเลยได้ยื่นบัญชีพยานไว้ 23 ปาก ซึ่งนัดหน้าศาลจะตรวจพยานหลักฐานว่าจะมีข้อเท็จจริงใดที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้บ้าง เพื่อให้การพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้น