ผบก.น.2 สั่งไล่ออกจากราชการดาบตำรวจหื่น ที่หลอกนักศึกษาเข้าโรงแรมหมายข่มขืน
วันนี้ (15 ก.พ.) พล.ต.ต.ก่อเกียรติ วงศ์สุเมธ ผบก.น.2 เปิดเผยถึงกรณีนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีให้ดำเนินการต่อ ด.ต.นิมิตร แคชัยภูมิ เสมียนเวร สน.สายไหม ที่หลอกพาเข้าโรงแรมหวังจะข่มขืน เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่าจากกรณีดังกล่าวได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง และสั่งให้ออกจากราชการ เพราะเรื่องดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กระทำผิด ซ้ำยังเสียภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชน ภายในวันนี้จะเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการทันที
คดีสืบเนื่องจาก น.ส.หนูดี (นามสมมติ) อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศดาบตำรวจ ทำหน้าที่เสมียนเวร สน.สายไหม หลอกพาไปเข้าโรงแรมม่านรูด และพยายามจะข่มขืน แต่ น.ส.หนูดีขัดขืนจนหนีรอดมาได้ หลังรับเรื่องราวร้องทุกข์ นางปวีณาจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ พาผู้เสียเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.สายไหมทันที
น.ส.หนูดี (นามสมมติ) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมาได้รับแจ้งจากแม่เพื่อนที่อยู่ย่านสายไหมว่าตอนนี้เพื่อนของตนเสพยาหนัก อยากพาไปรักษา ตนจึงรีบเดินทางมาหาพร้อมกับพากันไปแจ้งความที่ สน.สายไหม เพื่อแจ้งความสมัครใจเข้ารับการบำบัด โดยได้ลงบันทึกประจำวันกับดาบตำรวจ นิมิต เสมียนเวร ระหว่างที่พูดคุยกัน นายตำรวจคนดังกล่าวได้ขอเบอร์โทรศัพท์มือถือตน พร้อมทั้งชวนคุย เมื่อทำเรื่องเสร็จตนเองจึงได้พาเพื่อนเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวไปทำการบำบัดต่อ ระหว่างเดินทางดาบตำรวจนิมิตได้โทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่าในบันทึกที่เขียนให้ลงวันที่ผิด ขอให้กลับมาแก้ด้วย โดยบอกว่าให้ตนเดินทางกลับมาที่ สน.สายไหม เพียงคนเดียว ตนจึงรีบนั่งจักรยานยนต์รับจ้างกลับมาเพื่อแก้เอกสาร เมื่อแก้เสร็จแล้วดาบตำรวจนิมิตได้อาสาพาไปส่งบ้าน ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเข้าเวร ตนได้พยายามปฏิเสธแต่นายตำรวจคนนั้นอ้างว่าเป็นห่วง ตนเห็นว่าจะมืดค่ำแล้วจึงยอมขึ้นรถไปด้วยเพราะเห็นว่าเป็นตำรวจคงไม่มีอันตรายอะไร
ระหว่างทางออกจาก สน.สายไหม ดาบตำรวจนิมิตพยายามที่จะเลี้ยวรถลัดเลาะเข้าซอย ตนก็ถามว่ามาผิดทางหรือเปล่า แต่ได้รับคำก็ตอบว่าเป็นทางลัด อยู่ดีๆ เขาก็พูดว่าขอเป็นแฟนกับตน ตนจึงขอลงจากรถทันที ดาบตำรวจนิมิตก็จอดรถสูบบุหรี่ข้างทางและบอกให้หนูใจเย็นๆ เมื่อคุยกันได้สักพักเขาบอกว่าจะขอไปส่งบ้าน แต่ออกรถได้สักพักกลับเลี้ยวเข้าโรงแรมแห่งหนึ่งภายในซอยสายไหม 56 ตนตกใจรีบเปิดประตูจะวิ่งลงจากรถ แต่เขาก็คว้าแขนตนเอาไว้พร้อมกับยื้อยุดฉุดกระชากจนเสื้อตนขาด พอหลุดมาได้ก็วิ่งออกมาจากโรงแรม แต่ดาบตำรวจนิมิตก็ยังขับรถไล่ตาม พอดีมีรถแท็กซี่ผ่านมาจึงรีบเรียกและกระโดดขึ้นรถจนหนีมาได้ หลังเกิดเหตุตนตกใจมากได้เข้าแจ้งความเรื่องที่เกิดขึ้นที่ สน.ลาดพร้าว ก่อนตัดสินใจเข้าขอความเป็นธรรมต่อมูลนิธิปวีณาฯ
น.ส.หนูดีกล่าวอีกว่า ภายหลังพนักงานสอบสวน สน.สายไหม ได้เรียกตนไปพูดคุย ตนจึงเดินทางไปที่โรงพักพร้อมกับพี่สะใภ้และแม่ ทางตำรวจได้เจรจาขอให้ยอมความ โดยมีการนำภาพวงจรปิดจากทางโรงแรมมาเปิดให้ดูซึ่งเป็นรถของดาบตำรวจนิมิตกำลังเลี้ยวเข้าไปในโรงแรม สักพักก็เห็นตนวิ่งออกมาจากโรงแรม ทางตำรวจได้บอกว่าภาพที่เห็นได้มาจากโรงแรมดังกล่าว ซึ่งเป็นของ กต.ตร.คนหนึ่ง หากเขาจะไม่ให้ก็ได้ จะแจ้งเอาผิดอะไรได้ จากนั้นภรรยาและลูกของดาบตำรวจนิมิตได้เข้ามาพูดกับตนพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ โดยบอกว่าสามีถึงจะเป็นคนไม่ดี ตบตีเมียเป็นประจำ แต่ก็ขอให้เห็นแก่ลูกของเค้าด้วยเถอะ อย่าเอาเรื่องอะไรเลย ตนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หากปล่อยไว้อาจจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก จึงยืนยันที่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ต่อมาก็มี รอง ผกก.คนหนึ่งเรียกตนไปคุยที่ห้องทำงาน พร้อมกับบอกว่า เรื่องแค่นี้จะทำเป็นเรื่องใหญ่ทำไม เสื้อที่ขาดจะตัวสักกี่บาทกัน จะไปร้องเรียนที่ไหนก็เชิญ ทำให้ตนเสียความรู้สึกและเสียใจเป็นมาก เพราะไม่คิดว่าตำรวจที่เป็นที่พึ่งของประชาชนจะเป็นแบบนี้ แล้วประชาชนจะไปพึ่งใครได้
นางปวีณากล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ตำรวจซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนกลับทำผิดเสียเอง เมื่อรับเรื่องไว้แล้วได้ประสานกับ พ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผกก.สน.สายไหม ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและความเป็นธรรมกับผู้เสียหายด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป