รรท.ผบก.ป. เผย เร่งรัดสำนวนการสอบสวนคดีลักเงิน สจล. เพื่อสามารถสรุปได้ภายในเดือนนี้ รอผลการตรวจสอบลายมือชื่อผู้ต้องหาจาก พฐ. ขณะที่แหล่งข่าวระบุยอดเงินที่ยึดคืนได้ เพียง 100 - 200 ล้าน เหตุเพราะคดีเกิดขึ้นมานาน อาจมีการแตกย่อยออกไปเยอะ
วันนี้ (13 ก.พ.) ที่ กองปราบปราม พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการ ผบก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีลักเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งลายเซ็นของบุคคลให้ กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบเพื่อเปรียบเทียบกับเอกสารต่างๆ จากธนาคารที่มีลายเซ็นของผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติทำธุรกรรมทางการเงินของสถาบันเทคโนโลยีดังกล่าวไปดำเนินการแล้ว หลังจากเมื่อช่วงเช้ามีการประชุมหารือเรื่องคดีก็ได้เร่งรัดให้รีบตรวจสอบเพื่อขอทราบว่าประเด็นที่เราสงสัยในแต่ละข้อนั้นมีอะไรบ้างที่สามารถนำมาซึ่งแนวทางการสอบสวนเพื่อมัดตัวคนร้ายต่อไป
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวต่อว่า ลายมื่อชื่อที่เราส่งไปเป็นกลุ่มมีประมาณ 5 คน รวมถึงตัว น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อดีต ผอ.ส่วนการคลัง ของ สจล. ที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้า ที่เหลือก็คือบุคคลที่เรายังมีข้อสงสัยอยู่ ในส่วนของตัว น.ส.อำพร หลังจากพนักงานสอบสวนเดินทางเข้าสอบปากคำในเรือนจำ จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการให้ปากคำใดๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนต้องรอผลการตรวจลายเซ็นชื่อก่อนจะมีการสรุปสำนวนเพื่อสั่งฟ้อง ซึ่งจะเร่งรัดให้เสร็จภายในเดือนนี้
ด้านแหล่งข่าวใน บก.ป. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ที่มีการจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีลักเงิน สจล. นั้น จากการตรวจสอบเงินสดและทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหามีทั้งหมดประมาณ 400 - 500 ล้านบาท ซึ่งเมื่อจับกุมได้ก็สามารถอายัดเงินและเป็นทรัพย์สินที่ผ่านการฟอกเงินแล้วประมาณ 100 - 200 ล้านบาท ในส่วนของเงินอีกกว่า 1,000 ล้านที่หายไปนั้น เชื่อได้ว่าน่าจะมีการกระจายแตกย่อยออกไปอีก ซึ่งอาจจะไม่สามารถอายัดคืนมาได้มากนัก แต่ยืนยันว่ากำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำกลับคืนมาให้มากที่สุด
“ยอมรับว่า เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และยอดเงินจำนวนค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อมีการกระจายนำเงินแตกย่อยออกไปมาก ก็ยากที่จะสาวไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่อาจจะเป็นคนฟอกเงิน หรือเป็นเพียงคนเปิดบัญชีเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเงิน เหล่านั้นได้” แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว