ตำรวจภาค 7 ขาดแคลน “น้ำยา” อย่างหนัก เผย 3 คดีดัง “เป่าสาก” ยังล่าตัวคนร้ายไม่ได้ ประเดิมข้ามปีนักค้ายาบ้าสุดซ่า “เบนซ์ ท่าทราย” หายจ้อยเข้ากลีบเมฆไม่มีอะไรคืบหน้าได้ 3 เดือนแล้ว ตามด้วยคดีไอ้โล้นฝรั่งร่างยักษ์ฆ่าสาวซอยนานายัดกระเป๋า กว่าจะรู้ตัวฆาตกรโหดเผ่นแน่บออกนอกประเทศไปแล้ว ปิดท้ายคดี “ฆาตกามซิกซ์แพกจอมวิปริต” ตำรวจทำได้แค่แจกจ่ายแผ่นพับ และอ่อยด้วยเงินค่าหัว แต่ยัง “เงียบจ้อย” ไร้วี่แวว คาดบิ๊กภาค 7 เก้าอี้สั่น
ยุค “ตำรวจลายพราง” ไม่ว่าจะขยับซ้ายขยับขวาจำเป็นต้องเหลียวดูย้ำๆ ให้แน่ใจเสียก่อนว่า การปฏิบัติหน้าที่ หรือตัดสินใจทำอะไรก็ควรลืมวัฒนธรรมเก่าๆ ซะให้หมด ไม่ว่าจะเป็นการกินส่วยในทุกรูปแบบ ผลการทำงานที่ไม่เข้าตาผู้บังคับบัญชา หรือกระทั่งดอดไปตบเท้าเอาอกเอาใจนักการเมืองเจ้าของพื้นที่ หากไม่เก๋า หรือมีภูมิคุ้มกันที่ดี เชื่อว่ามี “อัตราเสี่ยงสูง” เป็นยุคที่วูบวาบ ฉูดฉาด จะว่าดีก็ได้จะว่าเวอร์เกินไปก็ใช่ แค่นับนิ้วมือและนิ้วอื่นๆ ยังไม่พอจำนวนเพราะตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมานายตำรวจระดับ ผบก.-ผกก. รอง ผกก. และสารวัตร โดนย้ายกันอย่างระเนนระนาด เผลอๆ อาจจะเกินครึ่งร้อยก็ว่าได้
ส่วยบ่อน-ซ่อง-สถานบริการ และอื่นๆ ถือว่าสังคมไทยค่อนข้างเคยชิน แม้จะเข้มคลั่กในบางท้องที่ บางแห่งก็เริ่มปฏิบัติการ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” กันแล้ว... เมื่อกล่าวถึงบทลงโทษยอดนิยมที่เน้นเฉพาะเรื่องส่วย มีสิ่งหนึ่งที่ระดับบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ค่อยทำกันนั่นก็คือการวัดประสิทธิภาพผลงาน หรือการทำหน้าที่ ดูแลปัญหาต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบด้วยความเข้มแข็ง
โดยเฉพาะคดีความต่างๆ ทั้งคดีเล็กๆ น้อยๆ ประเภทลักวิ่งชิงปล้น คดียาเสพติด หรือที่เคยเน้นหนักให้ความสำคัญก็คือ คดีอุกอาจสะเทือนขวัญ คดีประเภทนี้เป็นอย่างไรทุกฝ่ายไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ถ้าคดีใดก็ตามเป็นข่าวครึกโครม เป็นข่าวที่สื่อให้ความสนใจและชาวบ้านร้านตลาดแห่ติดตามกัน นั่นแหละคือคดีที่ตำรวจเรียกว่าอุกอาจสะเทือนขวัญ ขณะเดียวกัน คดีงัดแงะ ขโมยเข้าบ้านอาจจะหลังหนึ่งเพิ่งโดนครั้งแรก หรือเคยโดนมาแล้วหลายครั้ง คดีพวกนี้ไม่ค่อยเป็นข่าว ยิ่งเกิดกับชาวบ้านโนเนม ทั้งนักข่าว หัวหน้าข่าว ตำรวจระดับร้อยเวรยันพันเวรเขาไม่เคยให้ความใส่ใจ
กลับกัน ถ้าเป็นบ้านนางเอก บ้านดารา บ้านเซเลบ บ้านท่านผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ พาดหัวกันตัวเท่าหม้อแกง ตำรวจก็ให้ความสนใจ สัมภาษณ์ผู้กำกับ สัมภาษณ์ผู้การหรืออาจขยับไปยังโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าเป็นน้ำเป็นเนื้อดีไม่ดี ผบ.ตร.มาร่วมแจมด้วย เรียกว่าครบถ้วนกระบวนความ
ดังนี้จึงมีข้อเท็จจริงอยู่ประการหนึ่งว่า แม้อยู่ในยุคสารพัดจะปฏิรูป ทั้งปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปตำรวจ แต่การทำงานของตำรวจไทยก็ยังคงวนๆ เวียนๆ ซ้ำรอยเดิม ยังคง “ตกหล่ม-จมปลัก” อยู่กับความคิดและข้ออ้างเดิมๆ คือ ไม่มีงบประมาณสนับสนุน ขาดแคลนกำลังพล หนักเข้าพอคดีเยอะๆ ก็บอกว่าตำรวจอยู่ที่ปลายเหตุ ส่วนต้นเหตุสุดแท้แต่จะโบ้ยกันไป
คราวนี้ลองมาติดตามผลงานของตำรวจในพื้นที่ใกล้ๆ กทม.กันหน่อย...กองบัญชาการตำรวจภาค 7 มีเรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. หรืออาจจะผ่านไปยังรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลยก็ได้เพื่อปรับปรุงแก้ไข (ด่วน)
ไม่เกี่ยวกับขวัญกำลังใจของตำรวจ แต่เป็นขวัญของประชาชนในพื้นที่ ที่กำลังหวาดผวาเพราะตำรวจไร้น้ำยาไม่สามารถปิดคดีสำคัญๆ ได้
3 คดีใหญ่ ที่สะท้อนความไม่เอาไหนของตำรวจภาค 7 เริ่มจากปรากฏการณ์แก๊งยาเสพติดตบหน้าตำรวจฉาดใหญ่ คงไม่ลืมกรณีนายอดิศักดิ์ ศรีสะอาด หรือ “เบนซ์ ท่าทราย” อายุ 26 ปี หัวหน้าแก๊งค้ายาบ้ารายใหญ่ของ จ.สุพรรณบุรี ที่หาญกล้าออกมาแฉพฤติการณ์ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ศรีประจันต์ ยศระดับรอง ผกก.เคยรับส่วยแลกกับทางสะดวกในการค้ายาเสพติด
ไม่แฉเปล่า “เบนซ์ ท่าทราย” โพสต์ภาพเปลือยอกโชว์ลายสัก มือถืออาวุธสงครามขู่จะเอาชีวิตตำรวจและญาติพี่น้องยกโรงพัก
เหตุเกิดต้นเดือนพฤศจิกายน 2557 จำได้ว่า พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.7 ออกมาบอกนักข่าวว่า “ส่วนตัวแล้วผมไม่ให้ราคาต่อผู้ต้องหาที่กำลังหนีหมายจับคนนี้เลยแม้แต่น้อย”....มาถึงวันนี้ข้ามปีมาแล้ว ไม่ทราบว่าท่านผู้บัญชาการภาค 7 ไม่ให้ราคาโจร หรือโจรไม่ให้ราคาตำรวจเพราะไม่มีข่าวคราวความคืบหน้า ทุกอย่างเงียบกริบ!!?
มีเพียงโวยวายตีโพยตีพายเพราะเสียหน้ากันในวันแรกๆ
ยังไม่พอ คดีที่ 2 เหตุเกิดก่อน “เบนซ์ ท่าทราย” ไม่กี่วัน โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2557 ศูนย์วิทยุ 191 ภ.จว.กาญจนบุรี รับแจ้งพบศพสาวไทยถูกยัดในกระเป๋าเดินทางสีแดงขนาดใหญ่ มีผู้มาพบลอยอยู่กลางแม่น้ำแม่กลอง พื้นที่หมู่ 2 ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อตำรวจไปสอบสวนพบศพหญิงสาวอายุประมาณ 25 ปี นอนคุดคู้อยู่ในกระเป๋าเดินทางสีแดงยี่ห้อ POLOGY สภาพศพเน่าเหม็นคาดว่าเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน เบื้องต้นไม่มีหลักฐานใดๆ นอกจากตำหนิรูปพรรณที่น่าสะดุดใจเช่นเจาะสะดือ เสื้อ-กางเกง รวมทั้งรองเท้าส้นสูงลักษณะเหมือนสาวบริการ
ตำรวจระดมสรรพกำลังออกหาข่าวมาจนถึงวันที่ 9 พ.ย.มีการจำลองแผนประทุษกรรมในที่เกิดเหตุบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ด้าน ต.ปากแพรก โดยตำรวจได้ใช้ซากแพะ 1 ตัว ขาหมู 1 ขาพร้อมก้อนหินใส่เข้าไปในกระเป๋าขนาดเดียวที่พบแล้วโยนทิ้งลงน้ำเพื่อสังเกตุทิศทางรวมทั้งลักษณะการจมวันที่ 10 พ.ย. มีผลผ่าพิสูจน์ศพจากสถานบิติเวชวิทยา รพ.ตร.ระบุว่า คนตายทำศัลยกรรมจมูก ตรวจพบแอลกอฮอล์จำนวนมากในตับและปอด ส่วนการขืนใจมีหรือไม่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถระบุได้เพราะสภาพศพเน่า
วันที่ 12 พ.ย. พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ลงพื้นที่ด้วยตัวเองมีการเรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องบรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเพราะผ่านมาหลายวันแล้วตำรวจยังไม่มีเบาะแสใดๆเลยแม้แต่ประวัติคนตาย
พล.ต.ท.วรีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ. ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าคดีนี้หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับการแข่งกีฬาต้องมีแพ้มีชนะ หากรู้ตัวว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นใครก็จะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ แต่ถ้าไม่ทราบว่าคนตายเป็นใครตำรวจก็จะเป็นคนแพ้
วันที่ 15 พ.ย.มีผู้ปล่อยคลิปภาพฝรั่งร่างยักษ์เดินควงกับหญิงสาวลักษณะใกล้เคียงกับศพในกระเป๋าเดินทางสีแดง จนเป็นเบาะแสทราบต่อมาคือ น.ส.ลักษมี หรือปุ๊ก มะโนชาติ อายุ 31 ปี ชาวศรีสะเกษ ทำงานอยู่สถานบริการ “เรนโบว์ 4” นานาพลาซ่า ถนนสุขุมวิท กทม. พักอาศัยหอพักบุญแก้ว ซอยปรีดีพนมยงค์ สุขุมวิท 71 และคนตายถูกฝรั่งร่างยักษ์ออฟออกมาเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2557 เวลาประมาณ 23.53 น. และปรากฏในคลิปวงจรปิดดังกล่าว ช่วงระหว่างวันที่ 15 พ.ย.เป็นต้นไป ตำรวจสืบสวนภาค 7 ต่างออกติดตามหาข้อมูลที่เกี่ยวพันกับฝรั่งศีรษะโล้นร่างสูงใหญ่ซึ่งอยู่ในข่ายน่าสงสัยมากที่สุดแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเบาะแสใดๆ กระทั่งข่าวถูกกลืนไปกับสถานการณ์อื่นๆ ที่เข้ามาแทน
วันที่ 30 ม.ค. หรือผ่านไปนานเกือบ 3 เดือน พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.7 ออกมาแถลงข่าวถึงความคืบหน้าของคดีอีกครั้งว่าขณะนี้ตำรวจทราบตัวคนร้ายแล้วคือ MR.LOOKER SHANE KENNETH มีหลักฐานเดินทางเข้ามาประเทศไทยทางสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2557 และเข้าพักที่โรงแรม GULLIVER สุขุมวิทซอย 5 ต่อมาวันที่ 2 พ.ย. 2557 คนร้ายได้เช่ารถตู้ของพยานให้มาส่งที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีกระเป๋าเดินทางสีแดงขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายกับที่ใส่ศพ น.ส.ลักษมี หรือปุ๊ก ติดไปด้วย
สำหรับ MR.LOOKER SHANE KENNETH จากการสืบทราบพบว่ามีฐานะค่อนข้างดี มีบ้านพักส่วนตัวอยู่หมู่บ้านทิพวรรณ 5 เลขที่ 25/139 อ.หัวหิน จึงขอหมายค้นของศาลฯ แต่ไม่พบ หลังก่อเหตุคนร้ายยังใจเย็นรอดูสถานการณ์ในประเทศไทยนานถึง 23 วันก่อนหลบหนีออกนอกประเทศได้ในวันที่ 24 พ.ย. 2557 ทางด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ขณะนี้อยู่ระหว่างให้หน่วยงานเกี่ยวข้องกับตำรวจสากลติดตามตัวอยู่
มุมมองของคดีนี้จึงอยู่ที่คำพูดของ พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ที่ท่านบอกว่าถ้าสืบรู้ว่าคนตายเป็นใคร ตำรวจคือผู้ชนะ แต่ถ้ามืดแปดด้านไม่รู้คนตายเป็นใครมาจากไหน ตำรวจก็เป็นผู้แพ้...ตกลงว่าแพ้หรือชนะ ให้ขึ้นกับดุลพินิจของประชาชนคนไทยทุกๆ คนที่ใช้บริการตำรวจ
คดีที่ 3 ตอนนี้ทั้งบ้านทั้งเมืองไม่มีใครไม่รู้จัก คดี “ฆาตกามซิกซ์แพก” ที่ออกอาละวาดมานานต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2553 จนถึงปัจจุบัน มีสตรีสูงอายุรุ่นคุณยายคุณย่าและสาวใหญ่ตกเป็นเหยื่อ 10 รายพอดิบพอดี
คดีอันชวนตื่นตระหนกของบรรดาผู้สูงอายุและลูกหลานที่จำเป็นปล่อยให้คนแก่เฝ้าบ้านตามลำพัง ถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2553 เวลา 23.00 น.คนร้ายลักษณะเป็นชายอายุประมาณ 35-45 ปี รูปร่างสูงใหญ่ระหว่าง 165-175 ซม. ผิวสีดำแดง มือหยาบกร้าน ร่างกายแข็งแรง บึกบึนไม่มีหน้าท้องแต่เป็นกล้ามเนื้อลักษณะซิกซ์แพ็ก บุกเข้าไปข่มขืนหญิงชราวัย 70 ปีซึ่งพักอาศัยเฝ้าบ้านเพียงลำพัง เหตุเกิดท้องที่สภ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ต่อมารายที่ 2 วันที่ 10 พ.ย. 2553 เวลา 02.00 น. ท้องที่ สภ.นครชัยศรี จ.สมุทรสาคร บุกเข้าบ้านข่มขืนหญิงชราอายุ 71 ปี, รายที่ 3 วันที่ 8 ม.ค. 2555 เวลา 01.00 น.ท้องที่ สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ข่มขืนฆ่าหญิงอายุ 61 ปี, รายที่ 4 วันที่ 6 ธ.ค. 2555 เวลา 03.00 น.ท้องที่ สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม คนรายคาดว่าเป็นรายเดียวกันข่มขืนหญิง อายุ 59 ปี
รายที่ 5 วันที่ 8 ธ.ค.ปีเดียวกัน ท้องที่เดียวกันข่มขืนหญิงชราอายุ 70 ปีกลางสวนผลไม้, รายที่ 6 วันที่ 16 ธ.ค. 2555 เวลา 03.40 น.ท้องที่ สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ข่มขืนหญิงอายุ 47 ปี, รายที่ 7 วันที่ 23 มี.ค.2556 เวลา 23 น.บุกเข้าข่มขืนหญิงชราอายุ 75 ปี ท้องที่สภ.สามพราน จ.นครปฐม, รายที่ 8 วันที่ 11 มิ.ย. 2556 เวลา 00.30 น.ท้องที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ข่มขืนแล้วฆ่าหญิงชราอายุ 78 ปี, รายที่ 9 วันที่ 25 ธ.ค. 2556 ข่มขืนหญิงวัย 39 ปี ท้องที่สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ล่าสุดรายที่ 10 เหตุเกิดวันที่ 25 ม.ค. 2558 เวลา 01.00 น.ข่มขืนหญิงชราอายุ 72 ปีท้องที่ สภ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
คดีนี้สื่อมวลชนทุกแขนงประโคมข่าวอย่างต่อเนื่อง จนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นว่าอาจจะเกินมือตำรวจภาค 7 จึงสั่งการไปยัง พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รรท.ผบช.ก.จัดทีมจากกองปราบปรามลงมาช่วยคลี่คลาย แต่ยังไม่มีข้อมูลที่น่าพอใจนอกจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าคนร้ายฆาตกามซิกซ์แพกที่ก่อกรรมทำชั่วกับผู้เฒ่าผู้แก่นับ 10 รายนั้นเป็นฝีมือของคนเดียวกัน และมีภาพสเก็ตซ์ตามคำบอกเล่าของพยาน ล่าสุด พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.ได้จัดทำแผ่นพับจำนวน 5 พันแผ่นแจกจ่ายชาวบ้านในพื้นที่ล่อแหลม อีกทั้งมีรางวัลนำจับเป็นเงินสดจำนวน 2 แสนบาท
3 คดีเจ๋งๆ แต่ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้แม้แต่รายเดียว คงต้องมีคำถามดังๆ ไปยัง พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.7 ว่าเกิดอะไรขึ้น ปัญหามันอยู่ที่ไหน ไล่มาแต่คดีแรกคือนักค้ายาบ้าจอมซ่า “เบนซ์ ท่าทราย” ที่ตำรวจใหญ่ภาค 7 ไม่ให้ราคา จนป่านนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าและผลการปราบปรามขบวนการยาเสพติดในพื้นที่น่าพอใจ หรือน่าเป็นห่วงมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญบรรดาตำรวจน้อยใหญ่ที่ถูกกล่าวหามีการสอบสวนข้อเท็จจริงใดๆ หรือไม่
ส่วนคดีฆ่าสาวบริการยัดกระเป๋าทิ้งแม่น้ำแม่กลอง นั้นแม้ในที่สุดเจ้าหน้าที่จะรู้ตัวจนสามารถออกหมายจับได้นั้นแต่การข่าวที่ช้ามาก จนเข้าข่ายตำรวจแพ้ทั้งกระดานไม่ว่าจะรู้ตัวเหยื่อ หรือไม่รู้ตามวาทะหรูๆของนายตำรวจใหญ่คนกุมบังเหียนคดี
ทันทีที่กองปราบปรามลงมาคลี่คลาย...ไม่ทราบว่าตำรวจน้อยใหญ่แห่งภาค 7 มองเห็นอนาคตตัวเองบ้างหรือเปล่า...อาการล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่านี้ ไม่ใครก็ใคร เก้าอี้สะท้านสะเทือนแน่