ที่สำคัญพื้นที่ที่ตัดแบ่งมาอยู่กับ สน.บวรมงคล เป็นจุดทำเลทอง แห่งหนึ่งในฝั่งธนฯ เพราะมีโรงแรมม่านรูดอยู่เกือบ 10 แห่ง มีร้านค้า สถานบันเทิงนวดแผนโบราณ มีตลาดพงษ์ทรัพย์ อยู่ในเขตความรับผิดชอบ จนต่างรู้กันว่าเป็นพื้นที่ดีระดับต้นๆ ของโรงพักฝั่งธนฯ อาจจะเป็นรองบางยี่ขัน แต่ก็อยู่ระดับดีกว่าตลิ่งชันด้วยซ้ำ
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จาก “ผบ.ขายฝัน” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือ “น.1 เอาคืน” พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ต่อความพยายามเรียกร้องถึงความเหมาะสม และขอให้ทบทวน การแต่งตั้ง พ.ต.อ.ศุภชัย ผุยแก้วคำ “อดีต ผกก.สภ.เมืองพัทยา” จ.ชลบุรี มานั่งเก้าอี้ “ผกก.สน.บวรมงคล”
แม้ “วัชระ เพชรทอง” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะเคลื่อนไหวทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการนำพวงหรีดไปแสดงเชิงสัญลักษณ์ในการประท้วงการแต่งตั้ง หรือการยื่นหนังสือให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอให้ทบทวนคดีคนร้ายใช้เครื่องยิงจรวด RPG ยิงใส่วัดพระแก้ว ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 เพราะเชื่อว่า พ.ต.อ.ศุภชัย สมัยเป็น รอง ผกก.สภ.เมืองพัทยา ยศ พ.ต.ท. มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้
โดยอ้างถึงคำแถลงของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ ในขณะนั้น แถลงข่าวในฐานะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ระบุ พ.ต.ท.ศุภชัย ผุยแก้วคำ รอง ผกก.สภ.เมืองพัทยา (ยศตำแหน่งในช่วงนั้น) เป็นผู้จ้างวาน ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีตตำรวจตระเวนชายแดน เป็นเงิน 5 แสนบาท เพื่อก่อวินาศกรรมสถานที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายเป็นวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
หากยึดกันตามคำชี้แจงของ “สุวณา สุวรรณจูฑะ” อธิบดีดีเอสไอ ในประเด็น พ.ต.ท.ศุภชัย ที่ถูกระบุเป็นผู้จ้างวานนั้น อธิบดีดีเอสไอ ยืนยัน ในชั้นการสอบสวนมีการสอบสวนเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่พอแจ้งข้อกล่าวหา จึงไม่ดำเนินคดีและอัยการก็มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม
จริงอยู่การแต่งตั้ง พ.ต.อ.ศุภชัย จาก ผกก.สภ.เมืองพัทยา มาเป็น ผกก.สน.บวรมงคล ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดกฎเกณฑ์ หรือกติกา เมื่อ “พ.ต.อ.ศุภชัย” ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา หรือให้ออกจากราชการ ย่อมสามารถแต่งตั้งโยกย้ายได้ แต่ถามว่าเหมาะสมแล้วหรือ?ที่แต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่ง “ผกก.สน.บวรมงคล” โรงพักที่อยู่ในพื้นที่ “นครบาล” กองบัญชาการที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ มีนโยบายโยกย้ายตำรวจระดับ ผกก. เกี่ยวพันกับป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร ออกนอกหน่วย เพราะอ้างถึงการทำให้เกิดความเสียหายของประเทศชาติ
เพราะแม้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอแจ้งข้อกล่าวหา จึงไม่ดำเนินคดี แต่อัยการก็มีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม นั่นแสดงว่า พ.ต.อ.ศุภชัย อยู่ในข่ายต้องสงสัย และความสงสัยก็พอจะมีทีมาที่ไป เนื่องจาก พ.ต.อ.ศุภชัย เป็นสามีของ “จุรีพร สินธุไพร” แกนนำคนเสื้อแดงพัทยา และเป็นน้องสาว “นิสิต สินธุไพร” อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
การแต่งตั้งโยกย้าย พ.ต.อ.ศุภชัย ก็น่าจะอยู่ในมาตรฐานเดียวกับตำรวจเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. หรือตำรวจที่ถูกกล่าวหาเรื่องป้ายไฟโฆษณาบนป้อมตำรวจ คือ ต้องโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ไม่ต้องทำงานสัมผัสประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งฝ่ายอำนวยการ หรือโรงพักที่อยู่ไกลปืนเที่ยง
ไม่ใช่ “สน.บวรมงคล” โรงพักเมืองหลวงเช่นนี้
ตามยุทธจักรสีกากี การจัดเกรดโรงพัก “นครบาล” สน.บวรมงคล ก่อนหน้านี้ เป็นโรงพักท้ายที่ไม่มีใครอยากจะวิ่งมาลง เพราะเขตความรับผิดชอบมีเฉพาะทางแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น กระทั่งมีการแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบใหม่ สน.บวรมงคล ได้ขยับให้มีพื้นที่รับผิดชอบ “ทางบก” โดยตัดแบ่งบางส่วนของ สน.บางยี่ขัน และ สน.บางพลัด ทำให้มีพื้นที่รับผิดชอบตั้งแต่ปลายสะพานซังฮี้ ด้านฝั่งธนฯ ตัดเข้าไปเส้นจรัลสนิทวงศ์ทางที่มุ่งหน้าไปแยก 35 โบว์
ที่สำคัญพื้นที่ที่ตัดแบ่งมาอยู่กับ สน.บวรมงคล เป็นจุดทำเลทอง แห่งหนึ่งในฝั่งธนฯ เพราะมีโรงแรมม่านรูดอยู่เกือบ 10 แห่ง มีร้านค้า สถานบันเทิงนวดแผนโบราณ มีตลาดพงษ์ทรัพย์ อยู่ในเขตความรับผิดชอบ จนต่างรู้กันว่าเป็นพื้นที่ดีระดับต้นๆของโรงพักฝั่งธนฯ อาจจะเป็นรองบางยี่ขัน แต่ก็อยู่ระดับดีกว่าตลิ่งชันด้วยซ้ำ
การข้ามห้วยจากภูธรภาค 2 ของ “พ.ต.อ.ศุภชัย” มาอยู่ โรงพักบวรมงคล จึงต้องเรียกว่าไม่ใช่ธรรมดา โดยเฉพาะในช่วงที่ตำรวจเสื้อแดงแตกกระเจิง
มีเสียงเล่าลือกันว่า การเข้ามายึดทำเลทองฝั่งธนฯ ของ พ.ต.อ.ศุภชัย แทนที่จะไปนั่งทำงานเอกสารเป็น ผกก. ฝ่ายอำนวยการ หรือ ผกก. โรงพักไกปืนเที่ยง เป็นเพราะเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 48 ซึ่งอยู่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจเมืองหลวง เป็นคนดำเนินการจัดให้เพื่อน แต่จะจัดกันด้วยวิธีใด แบบไหน ไม่มีใบเสร็จมายืนยันการันตี อย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียกร้องให้นำมาเป็นหลักฐานแสดงความไม่โปร่งใสในการแต่งตั้ง เพื่อดำเนินการเอาผิด พูดไปก็คงไม่ดีนัก
แต่ถ้าเอาแค่เรื่อง “ความเหมาะสม” จากข้อกล่าวหาในคดีที่เกิดขึ้น ก็น่าจะทำให้ พล.ต.อ.สมยศ และ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ทบทวนการแต่งตั้งดังกล่าว เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม โดยเฉพาะที่สำคัญจะทำให้ “ผกก.” ที่โดนข้อกล่าวหาและถูกโยกย้ายเข้ากรุกันหลายร้อยราย ได้รู้สึกว่าความเป็นธรรมยังมีอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับ “ผบ.ขายฝัน” และ “น.1 เอาคืน” จะเลือกทำเพื่อศักดิ์ศรี “ตำรวจ” หรือเพื่อ “พวกพ้อง” มากกว่ากัน