นายดาบตำรวจ สน.หัวหมาก จ่อยิงเมียสาหัสก่อนฆ่าตัวตาย เหตุเครียดแม่ปวยเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย อยู่ได้อีกไม่นาน เพื่อนเผยเป็นคนดี ขยันทำงานงาน พยายามช่วยกันปลอบแล้ว สุดท้ายก็คิดสั้น
เมื่อเวลา 05.30 น วันนี้ (13 ม.ค.) พ.ต.ท.พลกฤต ธรรมสานสน์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุคนยิงกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในอาคารพาณิชย์ ซอยรามคำแหง 60 แยก 4 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.อ.โกเมน สุภาพ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ต.ท.หัสดินทร์ นพวงศ์ ณ อยุธยา สว.สส. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 6 คูหา ในห้องแถวเลขที่ 42/4 และ 42/3 ที่ห้องนอนชั้นล่างพบศพ ด.ต.ณัฐพล นิ่มแสวงกุล อายุ 43 ปี ผบ.หมู่งานจราจร สน.หัวหมาก นอนหงายจมกองเลือด มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาด 9 มม.เข้าที่ขมับขวาทะลุขมับซ้าย 1 นัด บริเวณหว่างขามีปืนพกประจำตัวขนาด 9 มม.ตกอยู่ ใกล้กันพบแมกกาซีนปืนตกอยู่พร้อมกระสุน 2 นัด ปลายเท้าขวาพบซองใส่อาวุธปืน จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบห้องติดกันบริเวณชั้นล่าง พบรอยเลือดและปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ที่พื้น มีผู้บาดเจ็บทราบชื่อนางสดิทร นิ่มแสวงกุล อายุ 41 ปี ภรรยาของผู้ตาย ถูกยิงที่หน้าท้อง 2 นัด และฝ่ามือขวาอีก 1 นัด อาการสาหัส ญาติพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลรามคำแหง แพทย์ทำการผ่าตัดช่วยเหลือจนอาการปลอดภัยแล้ว
จากการสอบถาม น.ส.ศิริลักษณ์ ผลาทิพย์ อายุ 20 ปี ลูกสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บ และลูกเลี้ยงของผู้ตายทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 05.00 น.ตนอยู่บริเวณหน้าบ้าน พ่อเดินมาบอกให้ออกไปซื้อข้าวมาให้กิน ตนก็ออกไปซื้อข้าวกล่องมาให้ เมื่อกลับมาก็นั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน ต่อมาพ่อเดินเข้าไปหาแม่ จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในห้องแม่รู้สึกตกใจมาก เพราะเห็นพ่อเดินถือปืนออกมา ตนพยายามเข้าไปจับมือพ่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อก็บอกไม่ต้องมายุ่ง ก่อนวิ่งเข้าไปในห้องที่เกิดเหตุ และได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด จึงรีบเรียกพี่ชายและเพื่อนบ้านมาช่วยดู พี่ชายไปดูแม่แล้วเรียกคนพาไปส่งโรงพยาบาล ส่วนตนวิ่งไปดูพ่อ ตอนแรกที่เข้าไปเห็นพ่อนอนหงายมีเลือดออกที่ศีรษะ นอนหายใจรวยริน มีปืนตกอยู่หว่างขา และถอดแมกกาซีนปืนออก ตนเข้าไปจับที่ตัวพ่อและจับมือพยายามเรียกชื่อพ่อ ตะโกนให้คนมาช่วย จากนั้นพ่อก็แน่นิ่งไม่หายใจ
“ไม่รู้ว่าพ่อมีปัญหาอะไรกับแม่ เพราะก่อนหน้านี้ยังปกติ ไม่ได้ทะเลาะ แต่มีอาการเครียด เพราะย่าป่วยเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ผ่าตัดแล้วก็ไม่หาย ได้ยินพ่อบ่นเครียดตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา อาจเป็นสาเหตุให้พ่อตัดสินใจก่อเหตุ”
ด้านนางชนัญธิดา ผลาทิพย์ อายุ 45 ปี กล่าวว่า ผู้บาดเจ็บเป็นน้องสาว ส่วนผู้ตายเป็นน้องเขย อยู่กันจดทะเบียนสมรสมานานกว่า 15 ปี ลูก 3 คนเป็นลูกติดน้องสาวตน แต่น้องเขยก็รักเหมือนลูกแท้ๆ ทุกคน ปกติน้องเขยจะเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูด มีเรื่องเครียดอะไรจะเก็บไว้คนเดียว ลักษณะเป็นคนเก็บกด แต่ถือว่าเป็นคนดี จะมีบ้างเวลาดื่มสุรามักจะเอาเรื่องเก่าๆ มาระบายระเบิดอารมณ์ จะมีปากเสียงกับภรรยาเวลาเมา แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มั่นใจว่าน้องเขยได้ดื่มสุราหรือไม่ แต่เขาจะเป็นคนรักครอบครัว รักแม่มาก และคงเครียดหนักที่แม่ที่อยู่กับญาติที่ จ.นครสวรรค์ ป่วยเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้ายซึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเพราะอาการอยู่ในขั้นโคม่า โดยก่อนหน้านั้นผ่าตัดเนื้องอกธรรมดา ไม่คิดว่าเป็นมะเร็ง แต่พอนำชิ้นเนื้อสมองไปตรวจกลับพบเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทำให้น้องเขยเครียดหนักไม่เป็นอันกินอันนอน
พ.ต.อ.โกเมนกล่าวว่า ผู้ตายมีความเครียดจากปัญหาครอบครัวมายาวนาน อีกทั้งแม่ยังล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง คาดว่าคงคิดมากเพราะหาทางออกไม่ได้จึงคิดสั้นก่อเหตุ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงต้องรอสอบปากคำคนใกล้ชิดอีกครั้งก่อนจะสรุปต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อทราบข่าวมีเพื่อนตำรวจด้วยกันมาดูศพ ด.ต.ณัฐพล ต่างแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจคิดสั้นครั้งนี้ เนื่องจาก ด.ต.ณัฐพลเป็นคนดี ขยันทำงาน เพื่อนฝูงรัก และเพื่อนทุกคนรับรู้ปัญหาความเครียด โดยเฉพาะอาการป่วยของแม่ พยายามปลอบและให้กำลังใจกลัวว่าจะหลงผิดคิดสั้น แต่สุดท้าย ด.ต.ณัฐพลก็คิดสั้น เพราะคงทำใจไม่ได้ที่ผู้เป็นแม่ซึ่งเขารักมากต้องมาจากไปด้วยโรคร้ายในเร็ววันนี้
ข่าวแจ้งว่า ล่าสุดมีรายงานว่าเมื่อเวลา 02.00 น.วันเดียวกัน ลูกชายคนเล็กซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม อายุ 15 ปี ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.จักรวรรดิ พร้อมของกลางยาไอซ์ 4 กรัม ข้อหาจำหน่ายยาไอซ์ ซึ่งอาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ ด.ต.ณัฐพลคิดสั้นจบปัญหาความเครียดดังกล่าว ส่วนอาการของนางสดิทรทีมแพทย์ได้ผ่าตัดช่วยเหลือจนพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยต้องรอให้อาการของนางสดิทรดีขึ้นก่อนจึงจะทำสอบปากคำหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป