อดีตอธิการบดี สจล.ยันไม่พบความผิดปกติในสมัยนั่งดำรงตำแหน่ง แต่ยอมรับเงินที่ได้นำฝากในแต่ละครั้งมีจำนวนเป็นสิบล้าน แนะให้ผู้บริหารชุดปัจจุบันได้ทำรายการต่างๆ ออกมาเพื่อความกระจ่าง
วันนี้ (5 ม.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวภายหลังให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเสร็จสิ้นซึ่งใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงว่า ในเบื้องต้นก็ไม่มีข้อมูลรายละเอียดอะไรที่จะให้ข่าวเพิ่มเติม ตนได้ให้ข้อมูลกระบวนการหรือขั้นตอนต่างๆ ในการเบิกถอนเงินของสถาบันฯ ตามที่ให้สัมภาษณ์แล้วก็มีหลักๆ 3 เรื่อง คือ การบริหารงนาในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ก็ชี้แจงไป แต่ที่ช้าไปบ้างเพราะมีการพิมพ์บันทึกถ้อยคำ และตรวจแก้กันด้วย อย่างไรก็ดี ทางพนักงานสอบสวนยังไม่ได้นัดหมายให้ตนมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อไว้แล้ว ซึ่งตนพร้อมให้ความร่วมมือ
ศ.ดร.ถวิลกล่าวต่อว่า ข้อมูลที่ให้ในวันเดียวกันนี้ก็จะเป็นข้อมูลทั่วไปและข้อมูลต่างๆ ในระหว่างดำรงตำแหน่งอธิการบดี สจล.ไม่มีการตรวจสอบทรัพย์สินใดๆ ของตน ส่วนเรื่องเงินของ สจล.ที่สูญหายไปนั้น จริงแล้วทางสถาบันฯ ก็มีการตรวจสอบกันอยู่แล้ว เมื่อไม่พบปัญหาจึงได้เซ็นชื่อลงนามไป ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ระแคะระคายเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตรงนี้ แล้วก็มีการรายงานการตรวจสอบตามปกติ ที่ผ่านมาเคยสอบถามจาก น.ส.อำพร ก็ไม่พบว่าเคยมีพฤติการณ์ที่จะลักเงินของสถาบันฯ ทั้งนี้ช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งอธิการบดีนั้น ทาง น.ส.อำพรก็ดำรงตำแหน่ง ผอ.ส่วนการคลังของสถาบันฯ แล้ว โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ขณะนั้นก็ยังอยู่ในตำแหน่งดังกล่าว ส่วนกรณีการเบิกถอนเงินออกมาซื้อแคชเชียร์เช็ค นำเข้าบัญชีธนาคารอีกแห่งนั้น ตนจำรายละเอียดไม่ได้ เพราะตนก็พ้นจากตำแหน่งมาได้ปีกว่าแล้ว ซึ่งตรงนี้ก็ยังไมได้คุยในรายละเอียดกับทางพนักงานสอบสวนด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีการเบิกถอนเงินจากบัญชีธนาคารของสถาบันฯ เพื่อนำไปฝากยังธนาคารอีกแห่งซึ่งได้อัตราดอกเบี้ยดีกว่านั้น เป็นการดำเนินการตามปกติของทาง สจล.หรือไม่ ศ.ดร.ถวิลกล่าวว่า กรณีดังกล่าวก็เป็นเรื่องปกติเมื่อทางสถานบันฯ ออกนอกระบบแล้ว เมื่อถามว่า ได้มีการเปรียบเทียบลายเซ็นกับเอกสารที่ทางตำรวจตรวจยึดไว้หรือไม่ ศ.ดร.ถวิลกล่าวว่า ยังไม่มีการเซ็นเพื่อเปรียบเทียบและเอกสารต่างๆตนก็ยังไม่เห็นว่ามีอะไรบ้าง ส่วนจะเคยเซ็นชื่อไปในเอกสารเกี่ยวกับการเงินมากแค่ไหนตนก็ไม่แน่ใจเพราะยังไม่เห็นรายละเอียด แต่ช่วงที่ดำรงตำแหน่งก็จำได้ว่ามีเอกสารหลายประเภท ที่ต้องเซ็นชื่อลงนามทุกวัน ส่วนเอกสารที่เกี่ยวกับเงินคงคลัง ก็จำไม่ได้ว่าเซ็นไปมากเท่าไหร่ คงต้องให้ผู้บริหารชุดปัจจุบันได้ทำรายการต่างๆ ออกมาให้ เพราะตนออกมานานแล้วจึงจำไม่ได้จริงๆ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน แต่เงินที่ได้นำฝากในแต่ละครั้งก็จำได้ว่ามีจำนวนเยอะเป็นสิบล้าน ไปนำเข้าบัญชีธนาคาร เพื่อเอาดอกเบี้ยที่สูงกว่า
ศ.ดร.ถวิลกล่าวต่อว่า กรณีของนายทรงกลดนั้นตนรู้จักเพราะเคยทำงานที่ธนาคาร สาขาย่อยลาดกระบัง ตนก็ต้องไปเบิกไปถอนอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ตนยังไม่ได้เป็นผู้บริหาร สจล. แต่นายทรงกลดไม่ได้เป็นผู้เสนอเรื่องให้ย้ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่วนกรณีการเบิกถอนเงินเพื่อไปนำเข้าบัญชีธนาคารแห่งใหม่ซึ่งได้ดอกเบี้ยที่สูงกว่านั้น ทางผู้ที่มีอำนาจในการพิจารณาจะต้องร่วมรับทราบและให้ความเห็นชอบด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับเงินที่สูญหายไปนั้นรู้สึกเสียดาย แต่ยืนยันว่าช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งนั้นได้ตรวจสอบตามเอกสารแล้วโดยไม่พบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นจึงลงนามไป ต้องขอเรียนให้เข้าใจว่าเงินคงคลังนั้นเป็นเงินที่จะนำมาเบิกจ่ายเมื่อมีกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อนำมาใช้ทำประโยชน์ให้กับสถาบันฯ ส่วนเงินที่จะเบิกออกมาก็ไม่ได้จำกัดวงเงิน แล้วแต่เงื่อนไขที่จะนำเงินออกมา
วันเดียวกัน ภายหลังมีกระแสข่าวว่า รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดี สจล.รวมทั้ง ผศ.สมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล.ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2555 จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เช่นเดียวกับ ศ.ดร.ถวิล และ นายสรรพสิทธิ์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารงานในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง และความเกี่ยวข้องกับกรณีเงินกองกลางของ สจล.ที่สูญหายไป นั้น ผู้สื่อข่าวได้ประสานติดต่อทางโทรศัพท์ไปยัง รศ.ดร.กิตติแล้ว ทราบว่าทั้ง รศ.ดร.กิตติ และ ผศ.สมศักดิ์ ยังไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป.โดยอ้างว่าติดภารกิจ และยังไม่ได้รับการประสานติดต่อจากพนักงานสอบสวน แต่หากมีการเชิญตัวเข้าให้ข้อมูลก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
