ตำรวจคาดคดีผูกคอตาย 5 ศพ ภายในอาคารพาณิชย์ย่านบางยี่เรือ ไม่ใช่ฆาตกรรม แต่น่าจะเป็นการวางแผนฆ่าตัวตายของคนภายในบ้าน หลังตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียดไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ด้านญาติร่ำไห้รับศพผู้เสียชีวิตกลับไปบำเพ็ญกุศล ขณะที่แม่ของเด็กชาย-หญิงที่เสียชีวิต ยืนยันไม่ได้ทอดทิ้งลูก ยังรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
วันนี้ (2 ธ.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่ สน.บางยี่เรือ พ.ต.อ.ฐาประวิชญ์ อินทะชัย ผกก.สน.บางยี่เรือ กล่าวถึงคืบหน้ากรณีพบศพ 5 ศพ ภายในอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ย่านบางยี่เรือ โดยชั้นล่างพบศพนางเคี้ยงเซี้ยม แซ่ลิ้ม อายุ 89 ปี และ น.ส.เพชรรัตน์ จารุพรรณกิจ อายุ 61 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง โดยมีผ้าคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน พบศพนายอนันต์ จารุพรรณกิจ อายุ 64 ปี ด.ช.อภิสิทธิ์ จารุพรรณกิจ อายุ 14 ปี และ น.ส.สุวรรณทิพย์ จารุพรรณกิจ อายุ 16 ปี ทั้งหมดอยู่ในสภาพถูกเชือกไนลอนสีน้ำเงินที่ผูกติดกับบริเวณช่องลมแขวนคออยู่ ศพที่พบทั้งหมดมีลักษณะคล้ายกันคือที่บริเวณริมฝีปากมีสีม่วงคล้ำ นอกจากนี้ยังพบจดหมายเขียนระบายความในใจเกี่ยวกับปัญหาด้านเงินที่ไม่พอค่าใช้จ่ายในครอบครัว ว่าหลังเกิดเหตุทางผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้ตรวจสอบพยานหลักฐานคดีนี้อย่างละเอียดเพื่อให้คดีเกิดความกระจ่าง โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรอผลชันสูตรศพทั้งหมดว่ามีสารพิษอยู่ร่างกายหรือไม่ รวมถึงผลตรวจดีเอ็นเอจากวัตถุพยานหลักฐานที่พบ เช่น เชือกที่ใช้ผูกคอ และตรวจหาสารพิษจากขวดเครื่องดื่มที่พบ ตนได้สั่งการเร่งรัดไปแล้ว แต่ยังระบุวันผลตรวจออกไม่ได้ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนลงพื้นที่สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้าน พร้อมกับตรวจที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม
พ.ต.อ.ฐาประวิชญ์เปิดเผยต่อไปอีกว่า นอกจากนี้ เมื่อช่วงประมาณ 17.30 น.วานนี้ (1 ธ.ค.) นางอุไรวรรณ เสริมศักดิ์ อายุประมาณ 50 ปี อดีตภรรยาของนายอนันต์ มารดาของ ด.ช.อภิสิทธิ์กับ น.ส.สุวรรณทิพย์ ได้เดินทางให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน โดยนางอุไรวรรณให้การว่า เคยอยู่กินกับนายอนันต์ฉันสามีภรรยากันจนมีลูก 2 คน อยู่ได้ประมาณ 8 ปีก็ต้องย้ายออกไปค้าขายตามถนัดอยู่ย่านสะพานใหม่ เนื่องจากมีปัญหาครอบครัว ถูกกีดกันจากนางเคี้ยงเซี้ยม มารดาสามี และน.ส.เพชรรัตน์ น้องสาวสามีที่มีอาการทางประสาท ทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เมื่อเห็นจดหมายที่คาดว่า น.ส.สุวรรณทิพย์ ลูกสาวเขียนตัดพ้อว่าแม่ไม่ดูแล ปล่อยให้อยู่อย่างลำบากกับพ่อ นางอุไรวรรณก็รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ พร้อมกับบอกว่ายังดูแลลูกอยู่ไม่ได้ทอดทิ้ง โดยปกติลูกทั้งสองคนมักขอเงินใช้ เพราะพ่อมีค่าใช้จ่ายมากทั้งค่าเช่าที่ขายของและที่พักทำให้เงินไม่พอใช้ซึ่งก็ได้ให้ไปทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม นางอุไรวรรณไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต โดยคดีนี้ในชั้นแรกตำรวจให้น้ำหนักประเด็นการฆาตกรรม ก่อนจะมาให้น้ำหนักเรื่องฆ่าตัวตายโดยคนในบ้านมากกว่าเป็นฝีมือคนนอก แต่หลังจากนี้หากเจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่เปลี่ยนรูปคดีก็ต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ร.ต.ท.จักรพันธ์ จิตต์แก้ว พนักงานสอบสวน สน.บางยี่เรือ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิชัย สนสกุล สว.สส.สน.บางยี่เรือ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ได้เดินทางไปตรวจสอบภายในอาคารพาณิชย์ที่เกิดเหตุอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม จากการตรวจสอบใช้เวลากว่า 1 ชม. 30 นาที เจ้าหน้าที่พบโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโมบาย 1 เครื่อง สภาพเปิดเครื่องพร้อมใช้งาน อยู่ที่บริเวณหัวเตียงนอนที่ชั้น 2 ใกล้กับที่พบศพของ ด.ช.อภิสิทธิ์ คาดว่าเป็นของ ด.ช.อภิสิทธิ์ นอกจากนี้ยังพบเอกสารการเรียนอยู่ในกระเป๋านักเรียนอีกจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นได้นำหลักฐานที่พบเพิ่มเติมส่งให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบต่อไป โดยสันนิษฐานว่าเหตุสลดดังกล่าวน่าจะเป็นการกระทำของคนในบ้าน เพราะไม่พบร่องรอยการต่อสู้และรื้อค้นทรัพย์สิน
ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ นางอุไรวรรณ เสริมศักดิ์ อายุ 53 ปี อดีตภรรยาของนายอนันต์ จารุสรรพกิจ อายุ 64 ปี ผู้เสียชีวิตพร้อมญาติ ได้เดินทางมารับศพผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ราย เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดหลักสี่ย่านดอนเมือง โดยจะกำหนดสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 3 วัน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
นางอุไรวรรณกล่าวทั้งน้ำตาว่า โดยปกติตนโทร.ติดต่อพูดคุยกับอดีตสามีอยู่เป็นประจำเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูกทั้ง 2 คน โดยปกติแล้วก็จะส่งเงินให้ลูกเป็นประจำ ก่อนหน้านี้ลูกก็ได้ขอเงินไปซื้อชุดลูกเสือ ล่าสุดก็ขอเงินไปทัศนศึกษา ตนก็ให้ไป จนวันเกิดเหตุในวันนั้นตนได้โทรศัพท์หาอดีตสามีเพื่อจะคุยกับลูกแต่ไม่สามารถติดต่อได้ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งมาทราบว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับครอบครัวทำให้รู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรู้สึกเสียใจมาก ตอนนี้ตนเองและญาติยังอยู่ในอาการเสียใจ ยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใคร ในส่วนของรายละเอียดต่างๆ นั้นขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ชี้แจงอีกครั้ง
