แม้ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะ คสช. และนายกรัฐมนตรี จะมีต่อ 5 นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้หาญกล้าออกมาชู 3 นิ้วต่อต้านรัฐบาลทหาร อย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจเด็ก แต่คำย้ายด่วนนายตำรวจที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 5 นาย
คือ พ.ต.อ.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบก.ภ.จ.ขอนแก่น พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สส.ภ.จ.ขอนแก่น พ.ต.ท.อนุศักดิ์ ศักดาวัชรานนท์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.ต.จิรัชติกุล จรัสกมลพงษ์ สวป.เมืองขอนแก่น และ พ.ต.ต.ชาติชาย ทิมินกุล สว.สส.เมืองขอนแก่น เกิดคำถามและข้อกังขาต่างๆ มากมาย
ปฏิบัติการย้ายนายตำรวจระดับปฏิบัติการครั้งนี้ ดูเหมือนว่าไม่เกินความคาดหมายเท่าไรนัก แต่น่าแปลกใจพอสมควร เพราะเหตุการณ์ผ่านพ้นไปเกือบสัปดาห์แล้วจึงเกิดประเด็นร้อนขึ้นมาในสังคมตำรวจ และประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะโลกออนไลน์ ต่างมีข้อสังเกตว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงทั้งในส่วนของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด
หากมองถึงความบกพร่องแล้วหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมดคงมิใช่แค่ตำรวจเพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากกำหนดการล่วงหน้าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเดินทางมากล่าวเปิดงานคืนความสุขแก้ภัยแล้ง บริเวณหน้าศาลากลาง จ.ขอนแก่น มาก่อนแล้ว ทุกฝ่ายย่อมทราบกันดีโดยเฉพาะพื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองหลวงของ “คนเสื้อแดง” การรักษาความปลอดภัยจะต้องมีแผนรองรับเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง และสำคัญที่สุด คือ แสดงให้เห็นว่ากลไกของประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งถือเป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจฝ่ายทหารอย่างเต็มที่นั้นเกิดปัญหาใช้ไม่ได้ผล
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในวงการตำรวจ ประเด็นย้ายด่วนตำรวจขอนแก่น 5 นาย มีกระแสในทางลบออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบีบบังคับให้ตำรวจต้องลงมาเล่นกับด้านความมั่นคงอย่างเต็มตัว ทั้งที่ตำรวจมีภารกิจหลายด้าน แต่การ “เชือด” ตำรวจขอนแก่นเที่ยวนี้ ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ตำรวจยึดถือเป็นภาระกิจอย่างเต็มตัวจำยอมรับไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือคำถามถึงความเหมาะสมประการใดหรือไม่
ด้วยที่ทุกวันนี้ฝ่ายการข่าวของทหาร - ตำรวจ ทำงานประสานอย่างใก้ลชิดกันอยู่แล้ว อีกทั้งกำลังทหารถูกวางไว้แทบทุกตารางเมตร มองไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียวเต็มบ้านเต็มเมือง
อีกประเด็นที่เกิดความห่วงใยในกลุ่มข้าราชการตำรวจ ก็คือ ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการแต่งตั้งโยกย้าย หากมีการกลั่นแกล้งโปรยใบปลิว หรือทำรูปแบบใดที่ต่อต้านคณะ คสช. ตำรวจท้องที่ก็อาจเป็น “แพะรับบาป” อย่าลืมว่าเจ้าตำรับวิชามารสูงสุด ก็คือ ตำรวจด้วยกันเองหากเกิดในพื้นที่สำคัญๆเช่นเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ หรือแม้แต่ใน กทม. ตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่
กรณีเช่นนี้ให้ย้อนไปดูคำสั่ง บช.ภ.4 ให้ย้ายนายตำรวจ 5 คน โดยยกเว้น พล.ต.ต.จิตรจรูญ ศรีวนิชย์ ผบก.จ.ขอนแก่น ซึ่งหากว่ากันตามเนื้อผ้าในฐานะหัวหน้าหน่วยก็สมควรถูกพิจารณาด้วย แต่อาจเป็นเพราะเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 36 ซึ่งขณะนี้กำลังมีบทบาทอย่างสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงเป็นความผิดปกติที่หลายฝ่ายกำลังจับตาอยู่
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมตำรวจอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะส่งผลต่อขวัญ กำลังใจของตำรวจในทุกระดับอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ปัจจัยสำคัญที่สุดในแวดวงตำรวจคือ “รายได้พิเศษ” ไม่ว่าจะเป็นจากส่วยในรูปแบบต่างๆ จนไปถึงการใช้อำนาจหน้าที่แทบจะหมดกลายเป็น “ศูนย์” วัฒนะธรรมตำรวจถูกพลิกอย่างฉับพลัน นอกจากไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงต้องอยู่ในภาวะ “ท่อตัน” สภาพทั่วไปจึงอยู่ในลักษณะหมดอาลัยตายอยาก ส่วนใหญ่คิดแต่เอาตัวรอดไปวันๆ เว้นแต่นายตำรวจระดับสูง มีฐานะการเงินแม้จะไม่มีรายได้นอกระบบเข้ามาก็ยังสามารถยืนอยู่ได้
เจ้านายประเภทนี้ยังคงมุ่งมั่นด้วยเดิมพันสูง แต่เฟืองระดับกลางจนถึงระดับเล็กๆ เกิดปัญหาส่งผลให้รวนไปทั้งระบบ เป็นความจริงที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกทั้งข่าวรายวันทหารจับบ่อนจริงบ่อนเก๊ บ่อนงานศพ ตีไก่ กัดปลายันเล่นรัมมี่ หรือการจับสถานบริการ
ที่มีทั้งตำรวจรับส่วยจริง และแอบเปิดแอบเล่นโดยที่ตำรวจไม่รู้เห็น แต่ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ตำรวจส่วนใหญ่รู้สึกเจ็บปวด แต่พูดไม่ออก ข้อเท็จจริงอย่างนี้แม้แต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. หรือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง นายตำรวจที่มีประสบการณ์มาช้านานก็รู้อยู่เต็มอกแต่คงไม่มีใครกล้าฝ่ากระแส “คนดี” ที่ยืนอยู่คนละด้านกับความเป็นจริง
และไม่ว่ารัฐบาลทหารจะมีแนวคิดเช่นไร ตำรวจใหญ่ในฐานะผู้รับนโยบายจะสนองตอบอย่างไร ที่แน่ๆ ที่สุดประชาชนไม่พ้นได้รับผลกระทบตรงๆไม่มากก็น้อย