เบื้องต้นพบว่าผู้คุมเรือนจำบางคน มีพฤติกรรมรู้จักสนิทสนมกับผู้ต้องโทษที่รุมทำร้าย “สายปุ้ย” จนเสียชีวิตคาเรือนจำ และระหว่างคุมขังผู้เสียชีวิตในช่วงแรกนั้น ได้มีการแยกตัว “สายตำรวจ” รายนี้แล้ว...แต่ไฉนช่วงหลังกลับปล่อยให้นักโทษคดีค้ายาเสพติดรุมทำร้ายจนเสียชีวิต?
กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเลยทีเดียว ภายหลังจากที่ นางสาวรุ่งภัสสรณ์ ดำรงไทยเจริญ แม่บ้านวัย 36 ปี เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนว่า
นายชื่นพันธ์ มาบางครุ หรือ “สายปุ้ย” สามีของตนเองวัย 40 ปี ที่ทำงานเป็น “สายตำรวจ” เสียชีวิตในแดน 6 เรือนจำพิเศษมีนบุรี เนื่องจากถูกนักโทษประมาณ 30-40 คน รุมทำร้าย ระหว่างที่ถูกคุมขังในข้อหายาเสพติด
เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (191) จับกุมพร้อมของกลางยาบ้า 2 เม็ด และพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่บริเวณปากซอยสวนสยาม 24 ถนนสวนสยาม แขวงและเขตคันนายาว กทม.เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
...นอกจากนี้ แม่บ้านวัย 36 ปี ยังระบุอีกว่า สามีของตนเอง ทำงานเป็น “สายตำรวจ” มานานประมาณ 4 ปีแล้ว ในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลบางชัน และหลายคดีก็ช่วยเหลืองานเจ้าหน้าที่มาตลอด ทั้งล่อซื้อยาเสพติด ช่วยหาข่าว เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าสินน้ำใจ ทั้งที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ขัดสน
ทั้งนี้ ภายหลัง “สายปุ้ย” ถูกจับกุม ทางครอบครัวพยายามยื่นเรื่องขอประกันตัวด้วยเงินสด 2 แสนบาท แต่ทางศาลไม่อนุญาต เนื่องจากเกรงว่าจะมีการหลบหนี ขณะเดียวกัน ยังพยายามประสานกับทางสถานีตำรวจนครบาลบางชัน ซึ่งก็ไร้วี่แวว...กระทั่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา แม่บ้านผู้ร้องเรียนเรื่องได้เข้าพบ “สายปุ้ย” คนดังกล่าว ที่ระบุเหมือนรู้ตัวว่า มีนักโทษประมาณ 30-40 คน เดินมาวนเวียนดูหน้าตนเองแล้ว ฉะนั้น ขอรีบดำเนินการเรื่องประกันตัว
แม้สุดท้ายทางครอบครัวผู้ตายจะพยายามแจ้งกับทางผู้คุมเรือนจำว่า เกรงกลัวเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากพบโจทก์เก่าที่ถูกคุมขังอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ทันการณ์...หรืออาจเป็นเพราะการปล่อยปละละเลย? จนเป็นเหตุให้ “สายตำรวจรายนี้” ถูกซ้อมจนเสียชีวิตอย่างน่าหดหู่ โดยสภาพศพพบซี่โครงหักทั้งสองด้าน ระบบหายใจล้มเหลว และตับแตกจากการถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก!!!
สำหรับศพ “สายปุ้ย” มีการตั้งสวดอภิธรรมศพไว้ที่วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม ตั้งอยู่หมู่ 5 ถนนพระสุเรนทร์ แขวงคันนายาว...
แต่เรื่องนี้ยิ่งกลับมาดราม่าขึ้นทันที หลังจากทาง “ไพฑูรย์ อำพันธ์” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษมีนบุรี ได้ออกมาระบุว่า ผู้ตายไม่ได้มีการแจ้งกับเจ้าหน้าที่เรือนจำว่ามีคู่อริ...และล่าสุดพบนักโทษผู้กระทำผิดแล้ว 6 คน ที่สารภาพว่ารุมทำร้าย “สายปุ้ย” จนเสียชีวิต เนื่องจากมีความแค้นกับสายตำรวจคนนี้ เพราะเป็นผู้ที่ร่วมกับตำรวจ ทำให้ติดคุก...ขณะเดียวกันได้มีการสั่งย้ายนักโทษที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้แล้ว 33 ราย ไปยังเรือนจำกลางคลองไผ่ จังหวัดนครราชสีมา เป็นที่เรียบร้อย...
ขณะที่ทาง “พ.ต.ท.อิทธิเดช สุนทร” รองผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลบางชันเองนั้น ช่วงแรกกลับ ปฏิเสธว่า “สายปุ้ย” ไม่ใช่สายของตำรวจ ซึ่งหลังจากที่ย้ายมาโรงพักนี้เป็นเวลา 2 ปี ก็พบผู้ตายเป็นพวกที่มานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว และเป็นแค่เด็กวิ่งซื้อน้ำ - ซื้อข้าวเท่านั้น และช่วยงานด้านการข่าวเพียงแค่บางครั้ง
...ไม่รู้จะเป็นเพราะไม่สนใจหรือยังไง แต่สุดท้าย “พ.ต.ท.อิทธิเดช” ก็ออกมาแก้ข่าวมายอมรับแล้วว่า ผู้ตายทำงานให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จริง โดยยืนยันว่าผู้ตายเป็นคนนิสัยดี...พร้อมโยนว่าเป็นแค่ความเข้าใจผิดของสื่อมวลชนซะงั้น!?!
ล่าสุด ทางด้าน พ.ต.อ.ศราวุธ จิตต์ระเบียบ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ที่เคยนั่งเป็นผู้กำกับการในพื้นที่บางชัน ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางชัน เร่งสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด...พร้อมประสานกับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของเรือนจำมีนบุรี ที่จะทราบผลภายในสัปดาห์นี้
ขณะที่มีรายงานว่า เบื้องต้นพบว่า ผู้คุมเรือนจำบางคน มีพฤติกรรมรู้จักสนิทสนมกับผู้ต้องโทษที่รุมทำร้าย “สายปุ้ย” จนเสียชีวิตคาเรือนจำ และระหว่างคุมขังผู้เสียชีวิตในช่วงแรกนั้น ได้มีการแยกตัว “สายตำรวจ” รายนี้แล้ว...แต่ไฉนช่วงหลังกลับปล่อยให้นักโทษคดีค้ายาเสพติดรุมทำร้ายจนเสียชีวิต?
สุดท้ายคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจังว่า เรือนจำทำงานบกพร่องจริงหรือไม่ หรือเป็นทางบุรุษสีกากีเองที่น่าตำหนิ และอย่าปล่อยให้เรื่องนี้ เป็นแค่คดี “ตายคาคุก” ธรรมดาเท่านั้น...