xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์จำคุก 50 ปี “เอ็ม แรมบ้า” ข่มขืนสาว ป.โท

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายสุรชัย หรือคณิศร วิวัฒนชาติ หรือ “ เอ็ม แรมบ้า”
ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 50 ปี “เอ็ม แรมบ้า” ชักปืนจี้ข่มขืน ถ่ายคลิปแบล็กเมล์นักศึกษาสาว ป.โท ชี้พยานหลักฐานชัดเจน กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน และให้ออกหมายจับแฟนสาวที่หลบหนีศาล

วันนี้ (4 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ อ.4407/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุรชัย หรือคณิศร วิวัฒนชาติ อายุ 38 ปี หรือ “แรมบ้า” หรือ “เอ็ม พญาไท” และนางธนวรรณ อุดมมีชัย หรือคล้ายแพร อายุ 47 ปี ภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา, ความผิดต่อเสรีภาพ หมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490

โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2552 สรุปความผิดว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. - 10 ส.ค. 2551 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนใจ น.ส.ดาว (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ผู้เสียหาย ให้กระทำการหรือจำยอมทำงานเป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์เนชั่นแนล ดีเทคทีฟฯ ของจำเลยทั้งสอง โดยไม่ยอมให้ผู้เสียหายลาออก โดยจำเลยที่ 1 นำอาวุธปืนออกมาเล็งขู่เข็ญบังคับผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 พูดข่มขืนใจขู่เข็ญผู้เสียหายและทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย รวมทั้งยังได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้งอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยยังได้แอบถ่ายรูปและคลิปวิดีโอขณะมีเพศสัมพันธ์กับผู้เสียหายออกเผยแพร่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ต่อมาวันที่ 20 ส.ค. 2551 จำเลยทั้งสองร่วมกันหมิ่นประมาทผู้เสียหายโดยการโฆษณาการกระจายภาพร่วมประเวณีดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงสีกัน เขตดอนเมือง แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง แขวงและเขตสะพานสูง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ และแขวงใดไม่ปรากฏชัด เขตหลักสี่ กทม., ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี, อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ต.สร้างถ่อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เกี่ยวพันกัน จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ขณะที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2556 ว่า ผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยัน มีเหตุผล เชื่อมโยงเป็นลำดับตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยากที่จะปรุงแต่งที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียและอับอายแก่ตัว ที่กระทบต่อชีวิตครอบครัว รวมทั้งหน้าที่การงานของผู้เสียหาย อีกทั้งโจทก์ยังมีบันทึกเสียงและภาพ การสนทนาทางโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 1 พูดข่มขู่ผู้เสียหาย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือ ขณะที่ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง, มาตรา 309 วรรคแรก, มาตรา 310 วรรคแรก, มาตรา 326, มาตรา 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม ให้จำคุกจำเลยที่ 1 รวมทั้งสิ้น 85 ปี 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ทั้งสิ้น 50 ปี ปรับ 2,000 บาท คำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเฉพาะโทษปรับ คงปรับทั้งสิ้น 1,050 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 10 ปี ฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์

โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ขณะที่จำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ แต่ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาตามวันนัดของศาลก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2557 จึงถูกศาลออกหมายจับเพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษา

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานข่มขืนใจ ตาม ป.อาญา มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งคดีขาดอายุความแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ส่วนความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา และข่มขืนโดยใช้อาวุธปืน หน่วงเหนี่ยวกักขัง จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมประเวณีกับโจทก์ร่วมจริง โดยโจทก์ร่วมได้ยินยอมมีความสัมพันธ์พิเศษแบบคู่รักโดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนสนับสนุน และการรอให้ระยะเวลาผ่านไปถึง 5 เดือนค่อยแจ้งความถือเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย เห็นว่า โจทก์มีโจทก์ร่วมในฐานะผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยทั้งสองได้พาโจทก์ร่วมไปกินข้าวที่ร้านอาหารย่านเกษตร-นวมินทร์ หลังจากนั้นได้ผสมยานอนหลับในเครื่องดื่มให้โจทก์ร่วมดื่ม พอโจทก์ร่วมหมดสติและมารู้สึกตัวอีกครั้งก็พอว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยในห้องนอนของจำเลยที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เปิดภาพถ่ายและคลิปวีดีโอขณะกระทำชำเราด้วยวิธีการวิปริตให้โจทก์ร่วมดูพร้อมข่มขู่หากแจ้งความจะนำภาพไปเผยแพร่ ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ยังได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมโดยใช้อาวุธปืนข่มขู่อีกหลายครั้ง เห็นว่า ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แม้โจทก์จะมีโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความเพียงปากเดียว ว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราหลายครั้งด้วยวิธีวิปริตผิดปกติธรรมชาติและยังได้ถ่ายรูปและคลิปแบล็กเมล์ ซึ่งโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายและเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย และยังไม่มีครอบครัว เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องทำให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง ไม่มีเหตุสงสัยได้ว่าเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสองให้ได้รับโทษ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ร่วมประเวณีกับโจทก์ร่วมเนื่องจากเป็นคู่รักกันนั้นเห็นว่า โจทก์ร่วมอายุอ่อนกว่าจำเลยที่ 1 หลายปี และเพิ่งรู้จักกันหลังจากโจทก์ร่วมมาสมัครงานกับจำเลยที่ 1 เพียงแค่ 10 วันเท่านั้น อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็มีจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาอยู่แล้ว คำกล่าวอ้างของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและมารดาของโจทก์ร่วม ต่างเบิกความสนับสนุนสอดคล้องกันว่า โจทก์ร่วมได้ถูกจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราจริง โดยเฉพาะพยานปากที่เป็นมารดา เมื่อลูกถูกกระทำนับว่าเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจคนเป็นแม่ไม่น้อย จึงไม่มีเหตุผลที่จะปรักปรำจำเลยให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูล ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยมีความรักใคร่สนิทสนมกันนั้นเป็นข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ซึ่งโจทก์ร่วมได้เบิกความว่าถูกจำเลยที่ 1 ข่มขู่ว่าจะนำภาพไปเผยแพร่ต่อบุคคลที่ 3 จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมโดยมีอาวุธและมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนจริงตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าคดีขาดอายุความเพราะไม่ได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนั้นเห็นว่า โจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ภายในระยะเวลาที่กำหนดคดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่เคยเผยแพร่รูปถ่ายของโจทก์ร่วมและไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมเบิกความว่าจำเลยเคยขู่ว่าจะส่งรูปถ่ายให้กับบุคคลที่ 3 เพื่อทำให้โจทก์ร่วมอับอายโดยได้บันทึกเสียงดังกล่าวไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ส่งภาพของโจทก์ร่วมให้กับเพื่อนและแม่ของโจทก์ร่วมจำนวน 4 ครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์ของกลางยืนยันว่าภาพถ่ายดังกล่าวส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ 1 จริง คำเบิกความของเจ้าพนักงานซึ่งกระทำไปตามหน้าที่ จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าปรักปรำให้จำเลยทั้งสองต้องให้รับโทษ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงต่างกรรมต่างวาระ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 309 วรรคแรก ส่วนข้อหาอื่นๆให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น รวมจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี ปรับ 1,050 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี พร้อมทั้งออกหมายจับจำเลยที่ 2 มารับโทษตามคำพิพากษา

ด้าน น.ส.รัศมี ไวยเนตร ทนายความโจทก์ร่วมจากสภาทนายความ กล่าวว่า รู้สึกพอใจในคำพิพากษา ซึ่งถือว่าในวันนี้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมแล้ว ส่วนจำเลยก็ถูกลงโทษเหมาะสมกับฐานความผิดที่ก่อขึ้นแล้ว สำหรับผู้เสียหายนั้นขณะนี้สามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม คาดว่าคดีนี้ฝ่ายจำเลยคงจะฎีกาสู้คดีต่อไป












กำลังโหลดความคิดเห็น