รวบขบวนการแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติ 3 ราย หลังเปิดบริษัทแชร์ลูกโซ่ในจีน สมาชิกกว่าแสนคน เสียหายว่า 6 พันล้าน เจอออกหมายจับเลยเผ่นเข้ามาเลเซีย ได้สมาชิกหลงเชื่ออีกกว่า 8 หมื่นคน เสียหายกว่า 3 พันล้าน บ่ายหน้าเข้าไทยปลอมบัตรประชาชน เตรียมยื่นขอจดทะเบียนหลอกลวงคนไทยต่อ โชคดีจับได้ก่อน ยึดทรัพย์สิน 240 ล้าน ยังเหลือเพื่อนร่วมแก๊งอีก 6 คน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (28 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา รักษาราชการแทนรอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รองผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ (สยศ.) ร.ต.อ.สุวนีย์ แสวงผล รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ร่วมแถลงจับกุมขบวนการแชร์ลูกโซ่ข้ามชาติรายใหญ่
ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายชง มี่ ชิว(นาย ศุภชัย รุจาธร) นาย เกิ้ง เหลี่ยนเปา (นายสุรินทร์ โสภณสุขสันต์) และน.ส.วาง เวนฟาน (น.ส.ปาชัวชิว แซ่ย่าง) พร้อมของกลางเงินสดสกุลต่างๆ 987,110 บาท หนังสือสัญญาขายที่ดิน จ.ภูเก็ต 5 ฉบับ มูลค่า 22,250,000 บาท โฉนดที่ดิน ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 2 ฉบับ สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ของ น.ส.ปาชัวชิว แซ่ย่าง วงเงิน 1.5 ล้านบาท บัตรประชาชนไทย 2 ใบ ชื่อนายศุภชัย และ น.ส.ปาชัวชิว
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายได้ร่วมกับสมาชิกเครือข่ายอีก 7 คน จัดตั้งบริษัท หยิน จู เหม่า จำกัด (yum shu mao) หลอกลวงหาสมาชิกโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งได้ทำลักษณะนี้มาแล้วในประเทศจีน มีสมาชิกกว่า 100,000 คน มูลค่าความเสียหาย 1.3 พันล้านหยวน (6,000 ล้านบาท) ทางตำรวจจีนได้ออกหมายจับขบวนการทั้ง 10 รายแล้ว จากนั้นได้เข้ามาตั้งบริษัทในประเทศมาเลเซีย มีสมาชิกกว่า 80,000 คน มูลค่าความเสียหาย 300 ล้านริงกิต หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยงาน นำโดย พล.ต.ท.จักรทิพย์ได้ร่วมกันจับกุมแก๊งคนร้ายข้ามชาติชาวจีน ซึ่งก่อคดีในประเทศจีน และมีหมายจับอยู่ในประเทศจีน โดยคนร้ายกลุ่มนี้ได้สร้างความเสียหายในประเทศจีนเป็นมูลค่าถึง 6,000 ล้านบาท รวมถึงได้สร้างความเสียหายในประเทศมาเลเซีย 3,000 ล้านบาท โดยคนร้ายกลุ่มนี้พยายามที่จะเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่โชคดีที่ตำรวจสามารถจับกุมได้ ก่อนที่จะสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนไทยที่หลงเชื่อ
ด้าน พล.ต.ต.รณศิลป์กล่าวว่า คดีนี้เป็นการทำงานร่วมกันของตำรวจจีน มาเลเซีย และตำรวจไทย โดยแก๊งนี้กระทำการเหมือนแชร์ลูกโซ่ โดยผู้ต้องหาคนแรกปลอมบัตรประจำตัวประชาชนของไทย ชื่อนายศุภชัย เปิดบริษัทที่จีนชื่อว่า บริษัท ชื่อ หยิน จู เหม่า จำกัด (yum shu mao) เปิดรับสมาชิกและให้ไปหาสมาชิกเพิ่ม ในประเทศจีนมีผู้หลงเชื่อเป็นสมาชิกกว่า 1 แสนคน ความเสียหายประมาณ 6,000 ล้านบาท ทางการจีนได้ออกหมายจับ 10 ราย แต่ในประเทศไทยสามารถจับกุมได้ 3 ราย ซึ่งอยู่ในหมายจับของจีน
ต่อมาได้ไปเปิดบริษัทที่ประเทศมาเลเซีย มีสมาชิกรวม 80,000 คน ความเสียหาย 3,000 ล้านบาท ต่อมาบริษัทเริ่มเข้ามาในประเทศไทย พยามยามจะจดทะเบียนโดยอยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะเดียวกัน กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ออกมาเตือนโดยระบุชื่อบริษัทชัดเจนว่าเป็นบริษัทแชร์ลูกโซ่
พล.ต.ต.รณศิลป์กล่าวว่า คนร้ายกลุ่มนี้จะเข้ามาทำบัตรประชาชนปลอมเพื่อไปซื้อทรัพย์สินในประเทศไทยประมาณ 240 ล้านบาท ทั้งนี้ ตำรวจสืบทราบได้เนื่องจากการที่นายศุภชัยไปบวชที่วัดใน จ.ภูเก็ต และได้บริจาคเงินให้ทางวัด 4 ล้านบาท จากนั้นได้บริจาคเงินเพิ่มอีก 30 ล้านบาท จึงเป็นที่จับตามองของตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จึงได้จัดชุดสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบ พบว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายที่มาด้วยกันมีหมายจับจากทางการจีนอยู่แล้ว
กระทั่งศาลจังหวัดภูเก็ตอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2557 ข้อหาใช้หรือแสดงบัตรอันเกิดจากการยื่นคำขอโดยแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ และจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนหนึ่งที่บริเวณหน้าคอนโดมิเนียมหรรษา เรสซิเดนซ์ ถนนราชดำริ ทรัพย์สินที่ยึดได้ในไทยทั้งสิ้น 240 ล้านบาท แต่ยังมีตู้เซฟใบใหญ่ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีก 1 ตู้ ซึ่งจะได้ขยายผลต่อไป
ขณะที่ ร.ต.อ.สุวนีย์ระบุว่า ในส่วนของ ปปง.จะได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเงินสดและทรัพย์สินของกลางอื่นที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ว่ามีแหล่งที่มาจากอย่างไร และมีจำนวนเท่าไหร่ หากพบว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำความผิด จะต้องทำการยึดอายัดทรัพย์สินต่อไป หากตรวจสอบพบว่ามีการนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินอื่น ต้องถูกดำเนินการในฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงินด้วย