แพทย์แถลงอาการสาวใหญ่เมืองลพบุรีจุดไฟเผาตัวเองพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อาการอื่นต้องรอประเมินเป็นระยะ ทั้งความลึกบาดแผล-ปอด-ดวงตา ด้านน้องสาวเผยกู้ 2.5 แสน แต่ถูกทบสารพัดจนบานเป็น 3.5 ล้าน ล่าสุดเจ้าหนี้โทร.มาหาบอก ตกตะลึงไม่คิดว่าจะทำจริง เลยสวนอย่ามาซ้ำเติม
จากณีกรณีนางสังเวียน รักษาเพ็ชร์ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/4 หมู่ 2 ต.วังจั่น อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ใช้น้ำมันราดใส่ตัวเองก่อนจุดไฟเผาบาดเจ็บสาหัส ภายในศูนย์บริการประชาชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หลังมายื่นหนังสือร้องทุกข์ปัญหานี้สิน 1.5 ล้านบาท เหตุเกิดเช้าวันที่ 15 ตุลาคม ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (16 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล นพ.ผลเลิศ พันธุ์ธนกุล รองคณบดีฝ่ายบริการ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เปิดเผยว่า คนเจ็บยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และไม่ได้มีอาการต้านเครื่องช่วยหายใจ แต่ยังไม่เคลื่อนย้ายไปไหน โดยเบื้องต้นอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับทรงตัว และยังไม่สามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่ถูกไฟไหม้ 50% ตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงลำตัวว่ามีความลึกระดับไหน เนื่องจากแผลยังบวมอยู่
“จุดนี้แพทย์ยังเป็นห่วง ต้องรอผลหลังผ่าตัดอีกครั้งช่วงบ่ายนี้ เพื่อประเมินอาการต่อไป ส่วนจะกลับมาปกติ อวัยวะใช้งานได้เหมือนเดิมหรือไม่ ต้องประเมินผลกันอีกครั้ง”
นพ.ผลเลิศกล่าวว่า ตอนนี้แพทย์เป็นห่วงเรื่องปัสสาวะที่ขับออกมาน้อย เนื่องจากการไหลเวียนของเสียไปที่ไตน้อยกว่าปกติ ทำให้น้ำที่ให้คนไข้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่จากการวิเคราะห์ระบบไตพบว่ามีเกณฑ์ใช้ได้ปกติ ตอนนี้คนเจ็บมีขวัญกำลังใจดี ชีพจรและความดันอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ปลายประสาทยังใช้ได้ ส่วนปอดต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าต้องรับการเอกซเรย์หรือไม่ จากนี้ต้องคอยประเมินอาการอย่างใกล้ชิด
“สำหรับดวงตาเบื้องต้นพบว่าอาการบวมยุบลงเล็กน้อย แต่เนื่องจากคนเจ็บใช้เครื่องช่วยหายใจ จึงไม่สามารถสื่อสารกับแพทย์ผู้รักษาได้ ทำให้ยังประเมินเรื่องการมองเห็นได้ไม่ชัดเจน”
นพ.ผลเลิศกล่าวว่า ช่วงเช้าทาง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาสอบถามอาการ ตอนนี้ทางโรงพยาบาลมุ่งรักษาคนเจ็บให้หาย โดยสามารถโอนสิทธิการรักษาที่ จ.ลพบุรี มารักษาที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลได้ตามสิทธิฉุกเฉินซึ่งตามกฎหมายสามารถรักษาได้ 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน ถ้านานกว่านั้นต้องประสานสิทธิกันอีกครั้ง และดูว่าคนเจ็บมีความพร้อมที่จะย้ายโรงพยาบาลได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็จะดูแลจนกว่าจะอยู่ในภาวะปลอดภัย
ด้าน น.ส.จันทร์จ๋า ทองอร่าม อายุ 41 ปี น้องสาวผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า เดินทางมาที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวานนี้เพราะเป็นห่วงสุขภาพของพี่สาว เมื่อมาเห็นรู้สึกตกใจจนร้องไห้ออกมา อยากให้พี่สาวหายเร็วๆ วิงวอนขอความยุติธรรมให้พี่สาวด้วยว่าอย่าซ้ำเติม เพราะนิสัยของพี่สาวเป็นคนขี้กลัว คาดว่าที่ก่อเหตุคงจะมีความเครียดหาทางออกไม่ได้เพราะว่าถูกเจ้าหนี้ทวงถามอยู่ตลอดเวลา
น.ส.จันทร์จ๋ากล่าวว่า เวลาประมาณ 02.00 น.วันที่ 15 ตุบลาคม พี่สาวโทรศัพท์มาชวนให้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาร้องทุกข์พร้อมกันซึ่งก็ได้พูดคุยกันตลอดเวลา พอเวลา 05.30 น.พี่สาวก็มาถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิด้วยรถตู้ ก่อนจะต่อรถเมล์มาที่เกิดเหตุ ปกติจะเป็นคนพาพี่สาวมาที่ศูนย์มา 6 ครั้งแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 7 โดยพี่สาวมาคนเดียว
“ส่วนน้ำมันไม่ได้พกก่อนออกจากบ้าน น่าจะหาซื้อระหว่างทาง ส่วนมีดก็พกไว้ป้องกันตัว และที่นาทั้งหมดก็เป็นของเจ้าหนี้”
น.ส.จันทร์จ๋ากล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้ครั้งนี้เกิดจาก 5 ปีก่อนได้ไปกู้เงินมาเรื่อยๆ รวม 250,000 บาท ก็เลยรับจ้างทวงหนี้เพื่อชดใช้หนี้เดิม แต่หลังๆทวงไม่ค่อยได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ค่อยดี และคิดว่า 2 ปีที่ผ่านมาทำนาก็หวังจะได้เงินมาชดใช้หนี้ แต่ไม่เป็นดังที่หวัง เจ้าหนี้ก็เลยทบหนี้ต่างๆ นานา ทำให้หนี้ทั้งหมดรวม 3.5 ล้านบาท แต่ไกล่เกลี่ยลดเหลือ 1.5 ล้านบาทซึ่งมากกว่าเงินต้นจำนวนมาก ทำให้เกิดความเครียดและมาก่อเหตุ
“หลังเกิดเหตุเจ้าหนี้โทรศัพท์มาหาบอกว่ารู้สึกตกตะลึง ไม่คิดว่าพี่สาวจะทำจริง ก็เลยบอกไปว่าอย่ามาซ้ำเติมอีก ก่อนจะวางสายไป หลังเกิดเหตุก็มีนักข่าวเดินทางไปที่บ้านของเจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้ก็ปิดบ้านไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ เลย”