หากวันนี้สามารถจับคนร้ายได้จริงๆ ตำรวจเองก็ต้องมีคำตอบที่เชื่อมโยงพยานหลักฐานต่างๆ ได้อย่างไม่ให้สังคมสงสัย คดี น.ส.ฮานนาห์ กับ นายเดวิด ไม่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ติดตามยังมีชาวอังกฤษ และเป็นข่าวไปทั่วโลกศึกหนักก็ตกที่ตำรวจ จับแพะไม่ได้ต้องตัวจริงอย่างเดียว
ย่างเข้าเป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้วกับคดีฆาตกรรม น.ส.ฮานนาห์ วิคตอเรีย วิทเธอริดจ์ กับ นายเดวิด วิลเลียม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษโดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา จนถึงบัดนี้ความคืบหน้าต่างๆยังวนเวียนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นคดีที่ตำรวจไทยล้มเหลว มืดแปดด้านไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมพยานหลักฐาน หรือกระทั่งแนวทางการสืบสวนสอบสวน
ย้อนเวลากลับไปวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ข่าวครึกโครมดังกล่าวเปิดเผยขึ้นเมื่อตอนสายของวันเดียวกัน โดย ร.ต.ท.จักรพันธ์ แก้วขาว พนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 2 ราย ถูกฆาตกรรมบริเวณชายหาดรี ต.เกาะเต่า จึงเดินทางไปสอบสวนพร้อมผู้บังคับบัญชาระดับสูง อาทิ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ผบก.ภ.จ.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผกก.สภ.เกาะพะงัน ชุดสืบสวน ภ.จ.สุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินด่วนไปร่วมชันสูตรในทันที
ในที่เกิดเหตุพบร่าง น.ส.ฮานนาห์ นอนหงายเปลือยกายอยู่หลังโขดหินสภาพศพมีบาดแผลถูกตีที่ศีรษะจนกะโหลกหน้าผากยุบ ใก้ลกันพบรองเท้าแตะสีชมพู เสื้อยืดสตรีสีเหลือง กางเกงขาสั้นสีเทาดำและเสื้อยืดผู้ชายสีเทา กางเกงชั้นในสีขาว
ห่างไปประมาณ 20 เมตร พบศพนายเดวิด ในสภาพเปลือยนอนคว่ำหน้าอยู่ในน้ำทะเลระดับน้ำสูงราว 50 ซม. มีบาดแผลถูกตีด้วยของมีคมเป็นแผลฉกรรจ์บริเวณท้ายทอยจนกะโหลกศีรษะแตก ในที่เกิดเหตุยังพบร่องรอยการต่อสู้ คราบเลือด นอกจากนั้น ยังพบของจอบขุดดินด้ามไม้เปื้อนเลือด 1 อัน ถุงปุ๋ยสีแดง กับถุงยางอนามัย 1 ชิ้น กับก้นบุหรี่ยี่ห้อ LM และ Marboro รวม 3 ก้นกรองตกอยู่ใต้ต้นสนใก้ลหาดที่เกิดเหตุจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนการสอบสวนมีชื่อ พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอาง ผบก.ภ.จ.สุราษฎร์ธานี เป็นผู้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนในช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ พอสรุปได้ว่า นายเดวิด วิลเลียม กับเพื่อนชาย 2 - 3 คน เดินทางเข้าประเทศไทยผ่าน ตม.สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2557 ส่วน น.ส.ฮานนาห์ เดินทางมาพร้อมเพื่อนหญิง 4 คน โดยผ่านด่านสุวรรณภูมิ เช่นกันเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2557 ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่ได้มาด้วยกันแต่พบกันโดยบังเอิญที่โอเชี่ยนวิว บังกะโล ได้ห้องพักติดกันทำให้ผู้ตายสนิทสนมกัน ก่อนเกิดเหตุทราบว่าทั้งหมดออกไปร่วมงานปาร์ตีที่ชายหาดหน้าโรงแรม ซึ่งจากการสอบปากคำเพื่อนๆ น.ส.ฮานนาห์ ทราบว่าผู้ตายทั้ง 2 ได้ปลีกตัวออกจากงานปาร์ตีแล้วหายไปด้วยกันทั้งคืน กระทั่งมาพบเป็นศพในตอนเช้า
“เชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุยังคงอยู่ในเกาะเต่า เนื่องจากคาดการณ์เวลาเกิดเหตุอยู่ประมาณ 03.00 - 05.00 น. เป็นช่วงที่เกิดพายุมีคลื่นลมแรง ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำชุมชน ช่วยชี้เบาะแสต่างๆ รวมทั้งตรวจตราทุกท่าเรือ ห้ามเรือทุกลำออกจากเกาะโดยเด็ดขาด”
ตอนหนึ่งของคำสัมภาษณ์ ผบก.สุราษฎร์ธานี และยังมีแนวสันนิษฐานอีกว่า “จากการจำลองเหตุการณ์และการตรวจชันสูตรศพในเบื้องต้นพบว่าลักษณะการก่อเหตุเชื่อว่าก่อนถูกทำร้ายทั้งคู่อาจกำลังมีเพศสัมพันธ์กันอยู่บนลานหาดทราย เมื่อคนร้ายเข้ามาเห็นในลักษณะที่ นายเดวิด นอนคร่อมร่าง น.ส.ฮานนาห์ อยู่จึงใช้จอบตีเข้าที่ท้ายทอยด้านหลังศีรษะก่อนเป็นจุดแรก แต่ นายเดวิด ยังไม่ตายจึงตีซ้ำจนแน่นิ่งไป จากนั้นจึงลาก น.ส.ฮานนาห์ ไปบริเวณโขดหินห่างจากจุดแรกประมาณ 15 เมตร เพื่อข่มขืนแต่เหยื่อไม่ยอมจึงถูกฆ่าตาย”
นี่คือ การให้สัมภาษณ์กับสื่อซึ่งหากมองด้วยความเป็นธรรมก็ต้องรับว่ามีแนวโน้มความเป็นไปได้แต่การสันนิษฐานเชิงวิชาการที่มั่นใจเกินไปจนไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดก็อาจเกิดช่องโหว่ขึ้นมาได้ อีกสองวันต่อมาหลังจากส่งศพเพื่อผ่าพิสูจน์อย่างละเอียดยังสถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันฯ ได้แถลงว่าสภาพศพน.ส.ฮานนาห์ เสียชีวิต เนื่องจากถูกของแข็งไม่มีคมทุบที่ศีรษะ เพียงแห่งเดียว (ต่างจากข่าววันแรกที่ระบุถูกตีด้วยของแข็งมีคม หรือจอบของกลางที่พบ) พบร่องรอยการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนเสียชีวิต พบอสุจิทั้งในช่องคลอดและทวารหนักแต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นของใคร
ส่วนศพ นายเดวิด นอกจากบาดแผลที่ศีรษะยังพบน้ำในปอดสันนิษฐานว่ามีการจมน้ำด้วย และผลตรวจอสุจิที่พบในตัวน.ส.ฮานนาห์ พบว่าเป็นอสุจิของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (เครื่องตรวจดีเอ็นเอสมัยใหม่สามารถตรวจยแยกระหว่างชาวเอเชีย หรือมองโกลอยด์กับยุโรป หรือคอเคซอยด์ ได้และไม่ใช่ของนายคริสโตเฟอร์ (เพื่อนนายเดวิด ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัย) ผลการตรวจดีเอ็นเอ ก้นกรองบุรี่มาร์ลโบโร พบว่ามีรอยลิปสติกสีแดงติดอยู่มีดีเอ็นเอผสมสองคน (แบ่งกันสูบ) ที่เหลือพบตัวอย่างดีเอ็นเอชาย 1 คน
เมื่อผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาแจ่มชัดอย่างนี้สิ่งแรกที่ตำรวจรีบทำคือปล่อยตัวผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยทั้งหมด
เพราะตัวอย่างดีเอ็นเอที่ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์นั้นไม่ตรงกับใครแม้แต่คนเดียว ตำรวจจึงต้องนับ 1 กันใหม่หมดทั้งการสุ่มตรวจบรรดาคนงาน การสืบสวนตามแนว “มโน” ตามเบาะแสจากอินเตอร์เน็ตแต่เหลวอย่างสิ้นเชิง
แล้วตำรวจจะไปทางไหน !!??
ไม่ว่าประเด็นลูกชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่หรืออื่นๆ แค่เป็นประเด็นเพียงสองวันก็จบข่าว กระแสข่าวในตอนนี้จึงมีเพียงปฏิบัติการขี่ช้างจับตั๊กแตนที่ระดมบรรดามือปราบจากกรุงเทพฯลงไปหาข่าวอย่างเอิกเกริก หรือกระทั่งการติดป้ายประกาศตั้งรางวัลค่าหัวโดยเริ่มจากเงินรางวัลของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร. 2 แสนบาท และขยับมาเป็น 7 แสนบาท นั่นส่อให้เห็นอาการไม่สู้ดี หรือทำท่าจะไปไม่รอดจึงอาศัยเงินสินบนเป็นตัวช่วย
อย่างไรก็ตาม บนความล้มเหลวที่ส่อแววขึ้นทุกวันๆ นั้นนายตำรวจใหญ่รายหนึ่งซึ่งจะปรากฏชื่อทุกครั้งในคดีสำคัญๆและเป็นนายตำรวจที่ใกล้เกษียณอายุราชการร้องอย่าเปิดเผยชื่อแต่ยินดีแสดงความเห็นโดยกล่าวถึงจุดอ่อนของคดีว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังหลงทิศทางอย่างหนัก คดีนี้ไม่ต้องการมือปราบอะไรเลย แต่ต้องการผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ มากที่สุดซึ่งเราได้พลาดโอกาสไปตั้งแต่แรก
กล่าวคือการรักษาพื้นที่เกิดเหตุดูแลดีหรือไม่ สภาพแวดล้อมเป็นหาดทรายมีคลื่นทะเลรบกวนหลักฐานต่างๆ ตลอดจนถึงวันนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
อีกประการหนึ่งคือความผิดลักษณะนี้บางครั้งก็ต้องอาศัยโชคเนื่องจากผู้กระทำผิดมักเลือกที่เปลี่ยวปลอดตาคนจึงขาดประจักษ์พยานซึ่งสำคัญมาก
“โดยทั่วไปหากเกิน 7 วันยังจับตัวจริงไม่ได้ก็ขอภาวนาอย่าให้เป็นแพะ”
นายตำรวจคนเดียวกันยังกล่าวด้วยว่า หากวันนี้สามารถจับคนร้ายได้จริงๆตำรวจเองก็ต้องมีคำตอบที่เชื่อมโยงพยานหลักฐานต่างๆได้อย่างไม่ให้สังคมสงสัย คดี น.ส.ฮานนาห์ กับ นายเดวิด ไม่เพียงคนไทยเท่านั้นที่ติดตามยังมีชาวอังกฤษ และเป็นข่าวไปทั่วโลกศึกหนักก็ตกที่ตำรวจ จับแพะไม่ได้ต้องตัวจริงอย่างเดียวแต่สถานการณ์อย่างนี้แพะหรือตัวจริงมันคงตอบคำถามกันให้เคลียร์
นี่คือประเด็นเด็ดที่ไม่มีใครกล้าพูด และเมื่อพูดยังต้องขอแค่เป็นแหล่งข่าวซึ่งถือว่าเป็นการจบสัมภาษณ์อย่างคุ้มค้าที่สุด
ฉากสุดท้ายคงต้องมาวิเคราะห์ถึงเอกภาพในการทำงานของผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอตั้งข้อสังเกตว่าช่วงแรกๆนอกจากตำรวจพื้นที่แล้วจากส่วนกลางมีใครมากันบ้างซึ่งลำดับได้ว่าหลังพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลั้งปากที่ที่ประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาล จนเป็นข่าว “บิกินี” ไปแล้ว พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ว่าที่ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.เดินทางมา “ให้ข่าว” กับขบวนนักข่าวจาก กทม. ที่สนิทสนมกับ พล.ต.อ.พงศพัศ โดยตั้งรางวัล 2 แสนบาท เป็นการประเดิมให้กับคนแจ้งเบาะแสก่อนเดินทางกลับ
ส่วน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม ไม่ปรากฏมีชื่อเข้ามามีส่วนร่วมแม้แต่วันเดียวซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าทั้งว่าที่ ผบ.ตร. กับรอง ผบ.ตร. ฝ่ายปราบปราม รายนี้เกิดอาการ “เกาเหลา” กันอย่างหนัก และอยู่ระหว่างเดินทางไปราชการที่ประเทศจีน โดยแท้จริงแล้วว่ากันว่า พล.ต.อ.เอก เบื่อหน่ายกับการแทรกแซงของผู้มีอำนาจอย่างเต็มกลั้นเพราะนอกจากไม่ได้เป็น ผบ.ตร. แล้วยังโดนแซะให้ย้ายไปอยู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงหลบฉากไปสักระยะแต่โชคไม่ดีที่เกิดเรื่องร้ายแรงจึงต้องบินด่วนกลับมาทำหน้าที่ในวันต่อมา
ถึงวันนี้นับเป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว จะเข้าสู่โหมต “จับแพะ” ตามที่ห่วงใยกันหรือไม่คงต้องจับตาห้ามกะพริบ แต่ในเรื่องของความล้มเลวการโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะดูไม่เป็นธรรมนักเพราะตำรวจพื้นที่โดยเฉพาะหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ย่อมมีขีดความสามารถจำกัดกว่าส่วนกลางแต่เหนืออื่นใดการ “ฟันธง” ผิดๆ และเชื่อว่าคำสั่ง “ปิดเกาะ” จะไม่มีอะไรผิดพลาด 100% ทำไมตำรวจใหญ่จึงแน่ใจว่าคนร้ายยังอยู่ในเกาะ และที่สำคัญเบาะแสต่างๆ ที่ชาวบ้าน ผู้ประกอบกิจการค้าบนเกาะเต่าแจ้งเข้ามาราวทำนบแตกนั้นไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลยหรือ
จึงต้องกลับมาดูที่เอกภาพการทำงานของตำรวจไทย ซึ่งต้องยอมรับกันว่าสังคมตำรวจถูกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะระดับบริหาร ไหนจะสายของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต ผบ.ตร. ไหนจะสายของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานสารกิจ ผู้ที่พยายามจะเป็น “ผบ.ตร.” แต่จนแล้วจนรอดฟ้าก็ลิขิตให้เป็นได้แค่ “รักษาการณ์ ผบ.ตร.” ไหนจะสายของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ว่าที่ ผบ.ตร. และสายของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. คนอกหัก
หลังการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจลงล็อก ลงตัวแล้วเก้าอี้ของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ในฐานะรอง ผบ.ตร. รับผิดชอบด้านปราบปราม ย่อมมีส่วนรับผิด และรับชอบเต็มๆ จะโยกคลอนตามกระแสคดีเกาะเต่าหรือไม่ สงครามชิงเก้าอี้ประมุขสีกากีสืบต่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เริ่มนับ 1 แล้ว