xs
xsm
sm
md
lg

สาวพิการร้องกองปราบฯ แจ้งจับอดีต นร.รุ่นพี่รุมทำร้าย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

น.ส.สายฝน มาน้อย สาวพิการที่ถูกอดีตนร.รุ่นพี่รุมทำร้ายจนพิการ
ปธ.ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำสาวพิการร้องกองปราบฯ ถูกอดีตนักเรียนรุ่นพี่รุมทำร้ายจนพิการ เหตุเกิดที่โรงเรียนบางพลีราษฎร์บำรุง ผ่านมาแล้วหลายปียังไม่ความคืบหน้าทางคดี จึงให้ช่วยติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีที่หนึ่งในนั้นเป็นลูกนายตำรวจ



วันนี้ (3 ก.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้พา น.ส.สายฝน มาน้อย อายุ 26 ปี ซึ่งพิการเดินไม่ได้ อยู่บ้านเลขที่ 87/2 หมู่ 7 ต.ถ้ำกระต่ายทอง อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร เข้าร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.กรณี ถูกอดีตเพื่อนนักเรียน 7 คนรุมทำร้ายร่างกายจนพิการ เหตุที่โรงเรียนบางพลีราษฎร์บำรุง ใน จ.สมุทรปราการ เมื่อปี 2545 โดยผู้ก่อเหตุได้เข้ามอบตัวแล้ว 4 ราย คงเหลือผู้ต้องหาซึ่งเป็นตัวการในการกระทำความผิดอีก 3 รายที่ยังหลบหนีคดีอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นลูกตำรวจนายหนึ่ง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

น.ส.สายฝนกล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2545 ขณะนั้นตนเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนดังกล่าว วันเกิดเหตุตนเข้าไปช่วยเพื่อนนักเรียนหญิงที่ถูกกลุ่มรุ่นพี่ 7 คนรุมทำร้ายร่างกาย แต่กลับถูกรุ่นพี่กระชากผมจนล้มลง จากนั้นก็รุมทำร้ายโดยใช้เท้ากระทืบเข้าที่สะบักหลังอย่างแรงหลายครั้งจนขาทั้งสองข้างรู้สึกชา ก่อนจะมีคนตะโกนว่าครูมา รุ่นพี่จึงแยกย้ายกันหลบหนีไป หลังเกิดเหตุทางฝ่ายปกครองของโรงเรียนได้เรียกรุ่นพี่ทั้งหมดมาว่ากล่าวตักเตือน และไม่ได้ลงโทษใคร ระหว่างนั้นตนได้เข้ารักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่ง มีการฉีดยาและให้ยาแก้ปวดมาให้ ช่วงนั้นก็ยังฝืนไปเรียนหนังสือตามปกติ

น.ส.สายฝนกล่าวต่อว่า หลังจากผ่านไปได้ 4 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น และยังมีอาการชาที่ปลายเท้าจนเริ่มเดินไม่ได้ ต่อมาจึงไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช กระทั่งแพทย์ได้เอกซเรย์และฉีดสี พบว่ามีหนองที่ไขสันหลัง ต้องเข้ารับการผ่าตัดไม่เช่นนั้นจะมีอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าผ่าตัดจะเดินไม่ได้ เมื่อรักษาตัวก็ต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 6-7 เดือน ตอนนั้นแม่ซึ่งยังไม่เสียชีวิตได้ไปแจ้งความตั้งแต่วันเกิดเรื่อง แต่พนักงานสอบสวน สภ.บางพลีไม่รับแจ้งความ โดยอ้างว่าตนต้องไปแจ้งความด้วยตนเอง ต่อมาจึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีเพื่อประสานกับตำรวจให้ ทางตำรวจจึงรับเรื่องไว้เป็นคดี และมีการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา

น.ส.สายฝนกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทางตำรวจก็ไม่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาให้ ตนก็เลยเริ่มถอดใจเพราะป่วยด้วยต้องรักษาตัว จึงไม่ได้ตามคดี กระทั่งปี 2552 จึงมีผู้ต้องหา 3 คนยอมเข้ามอบตัว แต่เมื่อขึ้นศาลจังหวัดสมุทรปราการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว เขาไม่ยอมรับอะไรเลย จากนั้นจึงมีการนัดสืบพยาน พอสืบพยานเสร็จเขาก็ไม่รับ กระทั่งวันที่เราไม่ได้ไปศาลถึงยอมรับและขอไกล่เกลี่ยต่อศาล วางเงินเยียวยาคนละ 30,000 บาท ต่อมาศาลจึงตัดสินว่ากล่าวตักเตือนจำเลยทั้ง 4 โดยเห็นว่าเป็นเยาวชนและเพิ่งกระทำความผิดครั้งแรก รวมทั้งได้จ่ายเงินชดใช้กับตนโดยให้จ่ายเป็นรายเดือน รวมเป็นเงินรายละ 30,000 บาท ส่วนอีกคนที่เป็นคนที่ 4 ซึ่งเป็นคนกระชากผมตนก็มอบตัวในเวลาต่อมาและวางเงินเพื่อเยียวยา 20,000 บาท

น.ส.สายฝนกล่าวด้วยว่า ตอนนี้คนที่เป็นหัวโจก เป็นตัวการที่ตั้งใจทำร้ายตนรวม 3 คนยังลอยนวลอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวของนายตำรวจท่านหนึ่ง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดี เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยโทรศัพท์มาโวยวายกับฝ่ายตนเนื่องจากแม่จะฟ้องแพ่งกับทางโรงเรียนเพื่อเรียกเงินเป็นค่ารักษาพยาบาล ทางโรงเรียนได้เจรจาขอจ่ายเงิน 40,000 บาท แล้วตำรวจที่เป็นพ่อของคู่กรณีให้เงินมาอีก 30,000 บาท โดยจะขอให้ยอมความไม่เอาเรื่องกับทางโรงเรียน แต่กับนักเรียนคู่กรณีนั้นยังไม่ได้ถอนแจ้งความใดๆ ตำรวจนายนี้กลับเอามาเป็นข้ออ้างว่ามีการยอมความและจ่ายเงินชดใช้ให้แล้ว เขายังท้าให้ไปที่โรงพักซึ่งตนคิดว่าจริงๆ แล้วเขาต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นคดีอาญา ยอมความกันไม่ได้

“ที่ผ่านมาเราก็รู้สึกท้อแท้อยู่แล้วที่ต้องพิการเดินไม่ได้ แต่เขายังมาข่มขู่และพูดจาถากถางว่าจ่ายๆ เงินไป คิดเสียว่าสมเพชทำบุญช่วยเหลือคนพิการ หรือบางทีทนายความก็หาว่าเราสำออยบ้าง เป็นเรื่องของเวรกรรมบ้าง บาดใจมาก หนูทำอะไรไม่ได้ พอมองเห็นคนอื่นเขาไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน ก็ได้แต่อิจฉา กลับมามองตัวเองที่ต้องเป็นภาระของครอบครัว อนาคตก็ไม่มี ที่มาร้องเรียนไม่ได้ต้องการเงิน แต่อยากให้เขาสำนึกผิดและได้รับโทษจากสิ่งที่ได้ทำไว้กับหนู ทุกวันนี้ต้องทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีใครรับได้หรอกกับการที่ต้องเป็นคนพิการ” น.ส.สายฝนกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า

ด้านนายจวน มาน้อย อายุ 58 ปี บิดาของ น.ส.สายฝนกล่าวว่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้านี้เคยทำงานก่อสร้างอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับบุตรสาวจึงต้องนำเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดไปใช้ในการรักษา แต่สุดท้ายบุตรสาวก็ต้องพิการตลอดชีวิต ต่อมาได้ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดใน จ.กำแพงเพชร ส่วนภรรยาเสียชีวิตเมื่อ 5 ปีก่อน ทุกวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก ต้องขายที่ดินทำกินเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่ารักษาบุตรสาว นอกจากนี้ตนก็สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงทำงานได้เพียงรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นห่วงแต่บุตรสาวคนเดียว เพราะหากตนเป็นอะไรไป ใครจะช่วยดูแลเขา เพราะญาติพี่น้องก็ห่างหายกันไปไม่ได้ติดต่อกันเลย

ขณะที่ พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องทุกข์ไว้ โดยมอบหมายให้ชุดสืบสวน กก.2 บก.ป.ได้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือที่ยังหลบหนีคดีอยู่ ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ของ น.ส.สายฝนนั้น ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสภากาชาด ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแล้ว



กำลังโหลดความคิดเห็น