ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี “กำนันเซี้ย” บุกรุกที่ดินราชพัสดุ ในพื้นที่เมืองกาญจนบุรี-ราชบุรี กว่า 1,000 ไร่ ชี้ครอบครองที่ดินสาธารณะจริง ด้านทนายยื่นเงินสด 3 แสนขอประกัน
ที่ห้องพิจารณาคดี 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 29 ส.ค. ศาลนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำ อ.55/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ย อายุ 71 ปี อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน หรือก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ในที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 สรุปว่า เมื่อต้นปี 2533 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2547 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง เผาป่าปลูกพืชไร่ ให้บุคคลอื่นเช่าและใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมจำนวน 299 ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ.209 หมู่ 12 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี และที่ดินรวมจำนวน 900ไร่ ในที่ดินราชพัสดุเลขทะเบียน กจ. 209 หมู่ 8 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องติดต่อกันทั้งหมดรวมจำนวน 1,199 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และ ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน
โดยวันนี้ นายประชา โพธิพิพิธ และภรรยา พร้อมทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์แล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีพยานเอกสารเป็นภาพถ่ายทางอากาศ เมื่อปี 2495 ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ต่อมาได้มีการออกพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2481 ให้เป็นที่ดินของรัฐเพื่อสาธารณะประโยชน์ หลังจากนั้นจำเลยได้เข้าไปครอบครองที่ดินกล่าว โดยซื้อที่ดินจำนวน 1,199 ไร่ เป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2543 ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และจำเลยไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินข้อพิพาท โดยอ้างว่าจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ แต่จำเลยเป็นข้าราชการควรจะต้องตรวจสอบให้รอบคอบว่าที่ดินดังกล่าว เป็นพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปครอบครองได้ ทั้งนี้ จำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวหลังจากที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้วและได้มีครอบครองทำประโยชน์ ถือว่าจำเลยได้เข้าครอบครองในที่ดินข้อพิพาท แม้จำเลยจะต่อสู้คดีว่าไม่ได้ทำการปลูกสิ่งก่อสร้างใดๆ แต่ตามประมวลกฎหมายที่ดินระบุว่า แม้จะไม่ปรากฎสิ่งก่อสร้าง แต่การครอบครองที่ดินดังกล่าวก็เป็นความผิด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเข้าไปครองครองที่ดินของรัฐ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุและเป็นที่ดินเพื่อสาธารณะประโยชน์ การที่จำเลยเข้าไปครอบครองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 911 และ มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง พิพากษาจำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
ต่อมานายทรงศักดิ์ โพธิพิพิธ ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 3 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ล่าสุดศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยตีราคาประกัน 1 แสนบาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขแต่อย่างใด