อดีต ส.ส.ปชป. “วัชระ” แจ้งจับ “ธาริต-เรืองไกร” หมิ่นประมาท กรณีกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาฯ เรียกตัวไปชี้แจงความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2553 แต่กลับให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าเป็นก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของดีเอสไอ
วันนี้ (5 ส.ค.) ที่กองปราบปราม นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ต.ชนะ คำทอง พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 137 ตามลำดับ โดยทำหนังสือร้องทุกข์, มติคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน
นายวัชระกล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายธาริตได้ระบุว่า คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ที่สมัยตนดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการฯ มีหนังสือเรียกให้นายธาริตไปชี้แจงข้อเท็จจริงจากเหตุความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2553 โดยกล่าวหาว่าตนก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของนายธาริต สิ่งที่ตนทำนั้นเป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของตนและพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการดำเนินการต่างๆ มีระเบียบและกฎหมายรองรับเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ทุกประการ
“การกระทำของนายธาริตนั้นทำให้ผมได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานด้วย จึงเข้าแจ้งความกลับในข้อหาหาหมิ่นประมาทและแจ้งความเท็จดังกล่าว” นายวัชระกล่าว
นายวัชระกล่าวต่อว่า ในส่วนของนายเรืองไกรที่เคยเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหาว่าตนในฐานะ ส.ส.และกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ เข้าไปก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับระบุว่าได้พูดจาข่มขู่นายธาริต และอ้างว่าตนกระทำการเกินอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการฯ จากเหตุการณ์ช่วงการชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 โดยระบุว่าเป็นคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ปฏิบัติตามศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอฉ. โดยทั้งสองถูกดำเนินคดีฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล โดยนายเรืองไกรกล่าวหาว่าตนมีเจตนาที่จะช่วยเหลือบุคคลทั้งสองให้พ้นข้อกล่าวหาซึ่งการให้ถ้อยคำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความเท็จ
ด้าน ร.ต.ต.ชนะกล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับเรื่องและตรวจสอบเอกสารหลักฐาน พร้อมกับสอบปากคำผู้ร้องไว้ ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป