ศาลพิพากษาจำคุก “ณัฐวุฒิ - จตุพร” คนละ 3 ปี ปรับ 6 หมื่นบาท คดีดักฟังโทรศัพท์การสนทนา จำเลยรับสารภาพ ประกอบหนึ่งในผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ศาลลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท และให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ที่ห้องพิจารณาคดี 808 ศาลอาญา วันนี้ (22 ก.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.177/2551 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หลบหนี) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต รมช.พาณิชย์ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อดักรับไว้ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความข่าวสาร หรือข้อมูลอื่นใด ที่มีการสื่อสารทางโทรคมนาคม โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 74
กรณีเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2550 จำเลยกับพวกร่วมกันนำข้อความ ถ้อยคำสนทนาที่มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ อันเป็นการสื่อสารโทรคมนาคม ที่ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ติดต่อสนทนากับ นายวิรัช ชินวินิจกุล อดีตเลขานุการศาลฎีกา และนายไพโรจน์ นวานุช ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ประจำสำนักประธานศาลฎีกา ไปเปิดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง ส่วน นายจักรภพ ศาลสั่งจำหน่ายคดี เพราะจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี โดยระหว่างการสืบพยานของจำเลยเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 - 3 แถลงต่อศาลขอให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายณัฐวุฒิ และ นายจตุพร จำเลยที่ 2 และ 3 กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 74 และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 21 ข้อ 1 ลงวันที่ 24 ก.ย. 2549 เรื่องห้ามดักฟังเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการทำผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 21 ข้อ 1
พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 - 3 คนละ 3 ปี ปรับคนละ 6 หมื่นบาท แต่จำเลยทั้งสองรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ปรับคนละ 4 หมื่นบาท แต่ปรากฏว่าหนึ่งในผู้เสียหายทำหนังสือแถลงต่อศาลว่า ทราบวัตถุประสงค์ในการปราศรัยของจำเลยที่ 2 - 3 จึงไม่ติดใจเอาความ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษคนละ 2 ปี
ภายหลัง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้ศาลได้เมตตาให้รอการลงโทษ เนื่องจากจำเลยทั้งสองรับสารภาพ ประกอบกับผู้เสียหาย 1 ใน 3 คนที่เป็นผู้พิพากษา ได้ทำหนังสือไม่ติดใจกับการกระทำของจำเลย เพราะทราบวัตถุประสงค์ของจำเลยทั้งสองแล้วว่า เป็นการปราศรัยเพื่อต่อสู้กับระบอบเผด็จการ ปกป้องศาสนา และสถาบันฯ โดยหนังสือดังกล่าวระบุเฉพาะพฤติกรรมของนายณัฐวุฒิ และ นายจตุพร เท่านั้น ไม่ได้มีการอ้างอิงครอบคลุมไปถึงนายจักรภพด้วย ดังนั้น ผลของคำพิพากษาของนายจักรภพ จะเป็นอย่างไรนั้น ตนคงไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งศาลได้ออกหมายจับนายจักรภพไว้แล้วและในส่วนของนายจักรภาพยังมีอีกหลายคดี ขณะที่นายณัฐวุฒิ และนายจตุพร ทั้งสองคนไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อแต่อย่างใด