xs
xsm
sm
md
lg

คสช.รื้อโครงสร้างตำรวจ “ปฏิรูป” หรือ “วังวน” เดิม?

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


รายงานตำรวจ

“สุดท้ายเห็นรื้อโครงสร้างตำรวจกันสวยหรูแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่เครื่องการันตีว่า “พิมพ์เขียวโล่เงิน” เหล่านี้ จะสามารถหยุดยั้งการแทรกแซง และวิ่งซื้อขายตำแหน่งได้หรือไม่?...ฉะนั้น คงต้องลองดูวันปฏิบัติจริง เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้ง “ผบ.ตร. คนที่ 10” ว่าผลลัพธ์จะจบอย่างไร...”

กลายเป็นกระแสฮือฮารอบรั้วกรมปทุมวันอยู่ในขณะนี้ ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกประกาศ 3 ฉบับ เมื่อค่ำคืนวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา เพื่อรื้อโครงสร้างตำรวจ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ชั่วข้ามคืน...โดยเฉพาะคำถามตัวโตๆ ว่า จะอุดรอยรั่วจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองได้จริงหรือไม่!?!

ทั้งนี้ หากลองพลิกแฟ้มย้อนไปดูคำประกาศทั้ง 3 ฉบับ จะพบฉบับแรก เลขที่ 87/2557 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ ยังถือว่าไม่มีรายละเอียดที่เป็นไฮไลต์สำคัญ เนื่องจากประกาศฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่เรื่องการเพิ่มอำนาจนายกฯ ในการคุม พ.ร.บ. 3 ฉบับ คือ ตรวจคนเข้าเมือง, จราจรทางบก และการควบคุมอาวุธปืนเป็นหลัก

ส่วนฉบับที่ 88/2557 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพนั้น มีไฮไลต์อยู่ที่การรื้อโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) มาตรา 117 ในแบบเก่าที่มี 11 คน พร้อมกำหนดให้คณะกรรมการเหลือ 7 คน ประกอยด้วย 1. นายกฯ เป็นประธาน 2. รองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธาน 3. ปลัดกระทรวงกลาโหม, ปลัดกระทรวงมหาดไทย, ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ 4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งได้รับการเลือกจากวุฒิสภาจำนวน 2 คน และให้ ผบ.ตร. เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมให้ประธานกรรมการ โดยคำแนะนำของผู้นำสีกากี แต่งตั้งข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจตรีขึ้นไป จำนวนไม่เกิน 2 คนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

...ซึ่งไม่ทันไรในประเด็นก็เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการที่ปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ามาอยู่ในชุดคณะกรรมการ ก.ต.ช. ด้วย แม้จะมีการแก้ต่างว่า เพื่อให้สอดรับกับงานด้านความมั่นคง แต่ก็ยังมีการหวั่นเกรงว่า จะมีเหตุการณ์ลายพราง “ล้วงลูก” สีกากีหรือไม่ ขณะเดียวกัน ยังกำหนดเลือกสรรผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน ผ่านระบบการเมืองของวุฒิสภา...ฉะนั้น จากคำสั่งใหม่นี้ จึงมีการตัดรายชื่อตามตำแหน่งแบบเก่า อย่าง รมว.มหาดไทย - รมว.ยุติธรรม และผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้าน ออกจากสารบบทันที

นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าว ยังมีการรื้อโครงสร้างของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จากเดิมที่มี 22 คน ในมาตรา 30 พร้อมกำหนดขึ้นใหม่เหลือเพียง 13 คน คือ 1. นายกฯ เป็นประธาน 2. ผบ.ตร. เป็นรองประธาน 3. เลขาธิการ ก.พ., จเรตำรวจแห่งชาติ และ รอง ผบ.ตร. เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภาจำนวน 2 คน พร้อมให้ ผบช.ก.ตร. เป็นเลขานุการ และรองเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

เมื่อนำการปรับโครงสร้างดังกล่าวไปรวมเข้ากับประกาศยกเลิกความใน (3) ของมาตรา 18 พร้อมระบุใจความลงใหม่ถึงประเด็นการแต่งตั้งผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ “ผบ.ตร.คนใหม่” ต้องมาจากการเลือกของ “ผู้นำสีกากีคนปัจจุบัน” ส่วนมาตรา 53 อันใหม่ ที่กำหนดให้หัวเรือใหญ่อาณาจักรโล่เงิน เลือกเสนอชื่อจากนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.- จเรตำรวจแห่งชาติ เท่านั้น ก่อนชงนายกฯ นำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไปนั้น

...ในส่วนนี้หลายฝ่ายมองว่า อาจเป็นช่องโหว่ที่ให้ “อำนาจมหาศาล” แก่ผู้นำสีกากีมากเกินไป ถึงขั้นมีสิทธิ์แต่งตั้ง “ผบ.ตร. คนใหม่” จนมีเสียงนินทาหึ่งทั่วกรมปทุมวันว่า

ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็หนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ ที่ว่า “ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร?” เช่นเดิม

แม้ล่าสุดทาง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาการเก้าอี้ผู้นำสีกากี จะออกมาระบุทำนองว่า “การที่ คสช. ทำครั้งนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อวงการตำรวจ และเชื่อว่าการเมืองไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ ส่วนการให้ ผบ.ตร. ปัจจุบัน เป็นผู้เลือกผู้นำคนใหม่ เสนอต่อที่ประชุม ก.ต.ช. เนื่องจากจะได้ลดทอนฝ่ายการเมือง ที่ก่อนหน้าให้นายกฯ เป็นผู้เลือก โดยขณะนี้ตนมีชื่อ ผบ.ตร. อยู่ในใจแล้ว และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการช่วงปลายเดือน ก.ค.- ส.ค. นี้”..."

ฉะนั้น หากลองวิเคราะห์จากสถานการณ์ปัจจุบัน ภายหลังคำสั่งนี้ผุดออกมา ทำให้ภาพการแย่งชิงเก้าอี้ “ผบ.ตร. คนที่ 10” ยิ่งเด่นชัดขึ้น หลังจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ10) และหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (หน.นรป.) ถูกตัดสิทธิ์ออกจากสารบบลุ้นระทึกครั้งนี้แล้ว ส่งผลให้ม้ามืดอย่าง “บิ๊กโอเล่”

พล.ต.อ.ไตรรัตน์ อมาตยกุล หน.นรป. จำใจต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปโดยปริยาย ทำให้นาทีคงเหลือเพียงนายตำรวจ “2 อ.”ที่ได้ลุ้นอีกเฮือกใหญ่ คือ “บิ๊กเอก” พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. ที่ชิงจังหวะแย่งซีนแถลงข่าวกันอย่างดุเดือด ณ เพลานี้ แม้จะมี “บิ๊กจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ หรือ “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รวมถึง “บิ๊กอวบ” พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน จเรตำรวจแห่งชาติ คอยเป็นตาอยู่ก็ตามที

แต่เกมนี้มีเสียงนินทาหึ่งว่า “บิ๊กอ๊อด” ดูจะมีเหลี่ยมดีกว่าคู่แข่งเล็กน้อย และยิ่งได้รับแรงเชียร์จากอดีตลูกพี่เก่าอย่าง “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ด้วยแล้ว งานนี้เจ้าตัวเตรียมซ้อมมโนวาดฝันบนอากาศได้เลย ขณะที่ “บิ๊กเอก” ดูเหมือนจะเสียฟอร์มไปพอตัวกับเหตุการณ์ “พีอาร์ลวง” หลังเชิญบรรดาญาติของ “น้องแก้ม” เหยื่อวัย 13 ปี ที่ถูก “ฆาตกรชั่ว” ข่มขืนแล้วฆ่าบนรถไฟ เพื่อหวังให้ขอบคุณเหล่าวีรบุรุษสีกากี แต่ทางญาติผู้เคราะห์ร้ายกลับไม่เล่นด้วย จนสุดท้ายตกเป็น “ขี้ปาก” บนสังคมออนไลน์...อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่า “องค์กรตำรวจ” อะไรก็เกิดขึ้นจนวินาทีสุดท้ายนั่นเอง...

ทั้งนี้ ในคำประกาศช่วงท้ายของฉบับที่ 88 ตีความได้ว่า การแต่งตั้งระดับรองลงไป โดยระดับรองผู้บัญชาการ ถึงผู้บังคับการในตำแหน่ง ให้เสนอชื่อเฉพาะคนในหน่วยเท่านั้น และไม่มีขึ้นข้ามห้วยอย่างที่ผ่านมา ส่วนระดับผู้กำกับการขึ้นไปนั้น ต้องผ่านกระบวนการ ก.ตร. ให้ความเห็นชอบเสียก่อน แล้วค่อยให้ ผบ.ตร. หรือผู้บัญชาการออกคำสั่ง

ปิดท้ายที่ฉบับที่ 89/2557 เป็นการให้ความสำคัญเรื่องการใช้หลักอาวุโส อย่างบรรดาบุรุษลายพราง เพื่อปิดกั้นบรรดา “นักวิ่ง” ทั้งหลายในอาณาจักรโล่เงิน และสกัดการแทรกแซงของนักการเมือง โดยมีหลักเกณฑ์ใหม่ เช่น 1. ผู้มียศสูงกว่า (ไม่รวมถึงยศที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรณีพิเศษ) เป็นผู้มีลำดับอาวุโสสูงกว่า 2. ยศเท่ากัน ผู้ที่ดำรงตำแหน่งระดับนั้นนานกว่า เป็นผู้มีอาวุโสสูงกว่า 3. ถ้าข้อ 2 เท่ากัน ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งระดับถัดลงไปนานกว่าตามลำดับจนถึงตำแหน่งระดับรองสารวัตร เป็นผู้มีลำดับอาวุโสสูงกว่า

4. ถ้าดำรงตำแหน่งลำดับถัดลงไปนานเท่ากัน ให้ผู้มีระยะเวลาดำรงตำแหน่งชั้นสัญญาบัตรนานกว่า เป็นผู้มีอาวุโสสูงกว่า และ 5. ถ้าระยะเวลาการดำรงตำแหน่งชั้นสัญญาบัตรเท่ากัน ให้ผู้ที่มีอายุมากกว่าเป็นผู้มีลำดับอาวุโสสูงกว่า...


สุดท้ายเห็นรื้อโครงสร้างตำรวจกันสวยหรูแบบนี้ ก็ยังไม่ใช่เครื่องการันตีว่า “พิมพ์เขียวโล่เงิน” เหล่านี้ จะสามารถหยุดยั้งการแทรกแซง และวิ่งซื้อขายตำแหน่งได้หรือไม่?...ฉะนั้นคงต้องลองดูวันปฏิบัติจริง เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้ง “ผบ.ตร. คนที่ 10” ว่าผลลัพธ์จะจบอย่างไร

ถ้า “หัวเน่า” ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างคงเข้าอีหรอบเดิมแน่นอน!?!


(แฟ้มภาพ) พล.ต.อ.สมสยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.
(แฟ้มภาพ) พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.
กำลังโหลดความคิดเห็น