สน.พระอาทิตย์
คดีเศร้าสลดสะเทือนขวัญ พนักงานการรถไฟฯฆ่าข่มขืนน้องแก้ม เด็กหญิงวัย 13 ปี บนรถไฟขบวนที่ 174 สายสุราษฎร์ฯ - กทม. แล้วโยนร่างทิ้งหน้าต่างรถไฟ แม้จะสามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว แต่กระบวนการดำเนินงานของ “ตำรวจ” ในคดีนี้ ตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วน
ต้องรีบ “ปฏิรูปตำรวจ” ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด!!!
ไม่ใช่เงื้อง่าราคาแพง ทอดเวลาไปเรื่อยๆ อย่างที่ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ รักษาการ ผบ.ตร. ซึ่งรับภารกิจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาปรับกระบวนการยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นที่พึ่งประชาชนอย่างแท้จริง แต่กลับไม่มีอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม มิหนำซ้ำภาพพจน์ตำรวจในสายตาประชาชนยังคงตกต่ำดำลงเรื่อยๆ
“ปัดสวะความรับผิดชอบ” - “จัดฉากสร้างภาพ”!!!
คือภาพสะท้อน “สันดาน” ตำรวจที่แท้จริง ซึ่งเกิดขึ้นในคดีสะเทือนขวัญที่สังคมกำลังเศร้าสลด ประชาชนกำลังได้รับความเดือนร้อน สุดท้ายความจริงเป็นสิ่งไม่ตายช้างที่ตำรวจพยายามเอาใบบัวมาปิดไว้ ก็โผล่ทั้งหางทั้งหัวออกมาประจานทาสแท้ “ตำรวจ” เอง
แม้การสืบสวนจะสามารถจับกุม “วันชัย แสงขาว” ลูกจ้างการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมกับเพื่อนร่วมก๊วนที่ดูต้นทางขณะเกิดเหตุฆ่าข่มขืนน้องแก้มได้อย่างรวดเร็วเรียบร้อย ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 ระบุความหมายของคำว่า “ตำรวจ” คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ตรวจตรารักษาความสงบ จับกุม และปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย หรือเป็นผู้มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งคำว่า พิทักษ์ แปลว่า ดูแลคุ้มครองพลเมืองของประเทศ สันติ คือ ความสงบ ราษฎร์ คือ ราษฎร หรือประชาชน เมื่อนำมาร่วมกันก็จะมีความหมายว่า ผู้ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในการดูแลคุ้มครองให้เกิดความสงบสุขแก่พลเมืองของประเทศ
แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคดีน้องแก้มการดำเนินคดีตั้งแต่ต้นจนจบของตำรวจ มีเสียงตำหนิติเตียนอย่างต่อเนื่องที่สำคัญเสียงตำหนิดังกล่าวยังดังมาจากญาติน้องแก้มที่ข้องใจการทำงานของตำรวจด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดตามหา “น้องแก้ม” ช่วงกลางคืนที่ญาติร้อนใจ และต้องการตามหาน้องแก้มอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว ปรากฏว่าไม่มีตำรวจหน่วยงานไหน ไม่ว่าตำรวจท้องทีหรือตำรวจรถไฟช่วยตามหาด้วย ปล่อยให้ญาติติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟและกู้ภัยระดมกำลังตามหากระทั่งพบร่างไร้วิญญาณน้องแก้มในคืนนั้น
ที่สำคัญ “ตำรวจ” ยังสร้างเรื่อง “งามหน้า” ด้วยการติดต่อมารดาน้องแก้มและญาติๆ ให้เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยบอกมาเพื่อรับมอบเงินเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกระทรวงยุติธรรมแต่กลับเตรียมกระเช้าดอกไม้และสคริปต์ให้มารดาน้องแก้มกล่าวขอบคุณและมอบดอกไม้ให้ตำรวจที่ช่วยติดตามจับกุมคนร้าย
มิหนำซ้ำ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. กล่าวต่อหน้าทุกๆ คน ว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวตำรวจได้รับแจ้ง และดำเนินการช่วยเหลือการค้นหาร่างของน้องแก้มอย่างเต็มที่ยิ่งทำให้ญาติส่วนหนึ่งของน้องแก้มไม่พอใจถึงเรื่องที่ตำรวจมาอ้างทั้งๆที่ตำรวจไม่ได้ช่วยในการค้นหาร่างน้องแก้มอย่างจริงจัง ถึงขนาดญาติอออกมาพูด
“นั่นน้องสาวหนูทั้งคน ตำรวจพูดโกหกทั้งหมดเลยและพี่ชายหนูเป็นคนไปตามหาจนเจอ”
จากนั้นในเฟซบุ๊ก “บรรจบ ชีวมงคล” ผู้สื่อข่าวพีพีทีวีก็ได้แชร์ข้อความการให้สัมภาษณ์หลังไมค์ของน้องแก้มว่าทางครอบครัวน้องแก้มถูกหลอกให้มามอบกระเช้าดอกไม้ขอบคุณโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาขอบคุณในช่วงนี้ เพราะยังอยู่ระหว่างโศกเศร้าและจัดงานศพให้น้องแก้มอยู่
“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตำรวจจัดฉากให้ครอบครัวมาขอบคุณได้เก่งมาก” เนื้อหาช่วงท้ายในเฟซบุ๊กของนักข่าวพีพีทีวีที่อ้างคำพูดของญาติน้องแก้ม
นอกจากนี้ เรื่องการปัดความรับผิดชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในคดีนี้เช่นนั้นเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนรถไฟและพนักงานรถไฟเป็นผู้ก่อเหตุการรถไฟเจ้าของสถานที่ต้องรับผิดไปเต็มๆ แต่ “ตำรวจ” โดยเฉพาะตำรวจรถไฟซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยทางรถไฟ ก็เข้าข่าย “บกพร่อง” ต่อหน้าที่
ถึงแม้ตำรวจรถไฟจะออกมาแก้ต่างแก้ตัวในเรื่องกำลังพลที่มีจำกัดไม่สามารถส่งตำรวจขึ้นขบวนรถไฟได้ครบทุกขบวนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ เพราะไม่ว่าหน่วยงานไหนก็มีปัญหาด้านกำลังพลซึ่งการบริหารจัดการกำลังเท่าที่มีอยู่เป็นสิ่งที่ต้องทำ โดยยึดเป้าหมายต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก
จะปัดสวะความรับผิดชอบไม่ได้!!!
พฤติกรรมการสร้างภาพ จัดฉาก เอาหน้า ของ “ตำรวจ” ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาอย่างต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่ในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศพฤติกรรมเช่นนี้ก็ยังเกิดขึ้น
เห็นชัดๆ จากกรณีการจับกุมตู้ม้า ตู้ไฟฟ้า ตู้ผลไม้ ตู้ลูกแก้วและสารพัดตู้อบายมุข ที่ตำรวจทั่วประเทศจับกุมอย่าต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน พ.ค.- มิ.ย. ได้กว่า 3 - 4 พันตู้ เพื่อตอบสนองเอาใจ คสช. ว่าดำเนินการตามนโยบายอย่างเต็มที่
ทว่าอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนว่าในช่วงสถานการณ์ปกติตู้ม้า ตู้ลูกแก้วเกือบ 3 - 4 พันตู้เหล่านี้เปิดบริการมอมเมาเยาวชนแต่ละพื้นที่กันขนาดไหนและทำไมตำรวจแต่ละโรงพักไม่จับกุมดำเนินคดี ทำไมต้องมาทำตอนที่ คสช. สั่งให้กวาดล้างอบายมุข ถ้าไม่ใช่เพื่อสร้างภาพเอาหน้า
เสียงเรียกร้องจากสังคมที่ต้องการเห็นการ “ปฏิรูปตำรวจ” ยังคงดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา เพราะมองไม่เห็นตำรวจจะสำนึกในหน้าที่ควรจะเป็น หากไม่มีการจัดระบบจัดระเบียบกันใหม่ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ประชาชนก็คงหวังพึ่งอะไรกับผู้ที่เรียกว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ไม่ได้เสียที