รอง ผบช.สตม.แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 3 คดี โดยมี 1 คดี เป็นสองผู้ต้องหาวชาวพม่ากักขังหน่วงเหนี่ยวแรงงานพม่าหลบหนีเข้าเมืองไว้กว่า 10 คน เรียกค่าไถ่แลกกับการส่งตัวไปทำงานในเรือประมงที่ประเทศมาเลเซีย
เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (9 ก.ค.) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.ชิษณุพงศ์ ยุกตะทัต รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.สุกิจ โคอินทรางกูร รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ณัฐธร เพราะสุนทร รอง ผบช.สตม. และพล.ต.ต.วราวุธ ทวีชัยการ ผบก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหากระทำผิด จำนวน 3 คดี
คดีแรก สามารถจับกุมตัว น.ส.วีนา รัตนมงคล หรือ น.ส.เซีย หลี่หลิง อายุ 27 ปี สัญชาติจีน นายฮาริส ปาทาน หรือฮาริส ฮุสเซ็น อายุ 18 ปี สัญชาติปากีสถาน นายฮาฟรีด์ ซิงห์ หรือนายปรินซ์ อายุ 18ปี สัญชาติอินเดีย สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบมีขบวนการคนด่างด้าวสวมสิทธิทำบัตรประจำตัวประชาชนไทยโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจสอบสำนักทะเบียน อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี มีรายชื่อที่ถูกจำหน่ายหรือถูกระงับความเคลื่อนไหว เนื่องจากมีการแจ้งเกิดไม่ถูกต้องจำนวน 344 รายชื่อ ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงติดตามจนกระทั่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามรายได้ จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพว่าตนเองไม่ใช่คนไทย และได้ว่าจ้างใหนายหน้าทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ในราคา 40,000-250,000 บาท
พล.ต.ต.ชิษณุพงศ์กล่าวว่า นายหน้าจะมีวิธีการแจ้งเกิดโดยไม่ถูกต้องเพื่อออกใบสูติบัตรให้แก่คนต่างด้าวก่อนจะพาไปขอทำบัตรประจำตัวประชาชนในจังหวัดอื่น และทำหนังสือเดินทางประเทศไทยเพื่อใช้เดินทางไปต่างประเทศ จากการตรวจสอบพบว่ามีคนต่างด้าวจำนวน 22 ราย จาก 344 รายได้กระทำการดังกล่าว เมื่อได้หนังสือเดินทางมาก็จะเดินทางไปยังประเทศต่างๆ โดยใช้หนังสือเดินทางของประเทศไทย
ด้าน น.ส.วีนา หนึ่งในผู้ต้องหากล่าวว่า ให้เพื่อนของตนแนะนำให้รู้จักกับนายหน้า โดยนายหน้าได้อ้างกับตนว่าสามารถช่วยทำบัตรประจำตัวประชาชนได้ เนื่องจากผู้ต้องหานั้นอยู่ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ต้องจ่ายเงินเพื่อนำไปทำเอกสารก่อน ตนจึงหลงเชื่อจ่ายเงินให้กับนายหน้า และไม่ทราบว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมาย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ใช้หรือแสดงบัตรประจำตัวประชาชนอันเกิดจากการยื่นคำขอโดยมิได้มีสัญชาติไทย ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 2 สามารถจับกุมนายฮาลูน ไม่มีนามสกุล อายุ 34 ปี สัญชาติพม่า และนายมิวลุน มวย อายุ 32 ปี สัญชาติพม่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.วราวุธกล่าวว่า สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีผ่านทางสายด่วน 1178 ว่าที่บ้านไม่มีเลขที่ภายในสวนปาล์ม ริมถนนซอยรอบเขาพลู ม.3 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร มีการกักขังตัวคนต่างด้าวไว้เพื่อบีบบังคับเรียกค่าไถ่ เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางไปยังบ้านหลังดังกล่าวพบประตูหน้าบ้านถูกล็อกจากด้านนอก หน้าต่างและประตูถูกไม้ตีปิดกั้นจากด้านนอก จึงเข้าขอตรวจสอบภายในพบนายฮาลูนอยู่ถายในบ้านหลังดังกล่าว
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นคนพากลุ่มชาวพม่า ทั้งหมดซึ่งเป็นชาย 10 คน หญิง 3 คน รวม 13 คน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และมีหน้าที่ควบคุมคนในบ้านจริง ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมนายมิวลูนซึ่งเป็นนายหน้าใหญ่ในการพากลุ่มคนพม่าทั้งหมดเข้ามากักขังไว้ โดยนายมิวลูนให้การรับสารภาพว่าตนจะรียกเก็บเงินจากญาติของชาวพม่าเพื่อให้ส่งตัวไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย เป็นจำนวนคนละ 50,000 บาท หากคนใดไม่มีคนมาจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวก็จะถูกนำตัวไปทำงานในเรือประมง
พล.ต.ต.วราวุธกล่าวต่อว่า จากการสอบถามผู้เสียหายทั้ง 13 คน ให้การว่าได้ถูกกักขังอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวมาประมาณ 1 เดือนเศษแล้ว ก่อนหน้านี้พวกตนได้จ่ายเงินให้กับนายหน้าจำนวนคนละ 4,000 บาท ที่รัฐยะไข่ ประเทศพม่า เพื่อโดยสารเรือไปยังประเทศมาเลเซีย โดยมีนายฮาลูนเป็นผู้ควบคุมมา และมาขึ้นเรือที่ชายแดน จ.ระนอง แล้วขึ้นรถยนต์มายังบ้านหลังดัวกล่าวเพื่อกักขังตัวไว้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์, ร่วมกันนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร, ร่วมกันให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปะทิว จ.ชุมพร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 3 สามารถจับกุมนายคาตามิ คาลอมโบ ฮิริเทีย อายุ 35 ปี สัญชาติคองโก และนายมาซูรา กัดซูลู รอดดิกค์ อายุ 36 ปี สัญชาติคองโก พร้อมของกลางหนังสือเดินทางเดินทางเบลเยี่ยมปลอม 1 เล่ม สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ ว่ามีบัญชีของคนต่างด้าวน่าสงสัย มีการโอนเงินเข้าจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 16,345 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 523,040 บาท พร้อมทั้งตรวจสอบหนังสือเดินทางที่ใช้เปิดบัญชีดังกล่าว พบว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม กระทั่งเจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนจนสามารถจับกุมนายคาตามิได้ในเวลาต่อมา
จากการสอบสวนนายคาตามิให้การรับสารภาพว่า มีเพื่อนได้ทำหนังสือเดินทางดังกล่าวให้เพื่อนำไปใช้เปิดบัญชี เจ้าหน้าที่จึงทำการขยายผลต่อจนสามารถจับกุมตัวนายมาซูรา ผู้ร่วมขบวนการได้เพิ่มอีกหนึ่งราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการเพิกถอนการอณุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักร ก่อนผลักดันออกนอกประเทศต่อไป