“วีระ สมความคิด” พร้อมทนายเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันปิดสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่มีข้อหาก่อการร้าย ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม หลังได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกัมพูชาและเดินทางกลับประเทศไทย
วันนี้ (2 ก.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามได้ควบคุมตัวนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษและปล่อยตัวจากเรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชา ภายหลังต้องโทษคดีรุกล้ำพรมแดนโดยผิดกฎหมาย และถูกศาลพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ตัดสินจำคุกเป็นเวลากว่า 3 ปี ก่อนเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงสายวันนี้ และลงจากเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และตำรวจ บก.ป.ได้อายัดตัวนายวีระซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีปิดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ มาสอบสวนดำเนินคดีที่ บก.ป.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระได้เดินทางมาด้วยรถตู้พร้อมกับนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ และแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูประเทศไทย (คปท.) นางวิไลวรรณ สมความคิด มารดา และนางพิศอำไพ สมความคิด อายุ 34 ปี ภรรยานายวีระ โดยทันทีที่เดินทางมาถึงสื่อมวลชนที่เฝ้ารอทำข่าวเป็นจำนวนมากได้พยายามสอบถามความรู้สึกภายหลังกลับประเทศไทยและการเข้ารับทราบข้อหาในคดีดังกล่าว แต่นายวีระซึ่งมีสียิ้มแย้มกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าตอนนี้รู้สึกดีใจที่ได้กลับประเทศไทย ส่วนเรื่องคดีความคงต้องขอปรึกษากับทางทนายความก่อน
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเดินทางมายัง บก.ป.ได้มีมวลชนเป็นจำนวนมากทยอยเดินทางมาให้กำลังใจนายวีระ รวมถึง น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม.ที่ร่วมเดินทางมาด้วย
ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวน นำโดย พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ กก.2 บก.ป.ได้สอบปากคำ พร้อมกับประสานแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจเข้าตรวจร่างกายของนายวีระ พบว่ามีสภาพร่างกายสมบูรณ์เป็นปกติดี สำหรับข้อกล่าวหาคดีปิดสนามบินทั้งสองแห่งนั้นทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหารวม 8 ข้อกล่าวหา
ด้านนางพิศอำไพกล่าวว่า ตนทราบเรื่องที่นายวีระได้รับการพิจารณาปล่อยตัวจากเรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา พยายามติดต่อสอบถามไปยังสถานทูตไทยในประเทศกัมพูชาแต่ติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศกัมพูชาเพื่อรอรับตัวนายวีระและเดินทางกลับมาพร้อมกัน กระทั่งได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศว่านายวีระได้รับการปล่อยตัว โดยนับตั้งแต่นาทีแรกที่ตนเห็นสามีก็รู้สึกตื้นตันใจมาก รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดทันที
นางพิศอำไพกล่าวต่อว่า ครั้งแรกตนคิดว่าเมื่อกลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วคงจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน แต่ก็มาทราบว่าทางเจ้าหน้าที่ได้ขออายัดตัวนายวีระเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในคดีปิดสนามบิน จึงร่วมเดินทางมาที่ บก.ป.ด้วย โดยจะจัดการเรื่องคดีให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงจะพานายวีระไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากทราบว่านายวีระมีอาการติดเชื้อราที่แผ่นหลัง โดยคาดว่าเกิดจากการถูกควบคุมตัวในเรือนจำมาเป็นเวลานาน
“ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำนั้น ทราบว่าสามีได้ทำอาหารรับประทานเอง เนื่องจากสามีทานมังสวิรัติ และทุกวันศุกร์ ดิฉันก็จะบินไปประเทศกัมพูชาเพื่อไปให้กำลังใจ และนำอาหารไปให้ด้วย หลังจากได้รับการปล่อยตัวอาหารมื้อแรกของสามี คือ สลัด และข้าวผัดธัญพืช สามีออกปากว่าอร่อยมาก และต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือให้สามีได้เดินทางกลับประเทศไทยในครั้งนี้” นางพิศอำไพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายวีระจะเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากนี้อีกหรือไม่ นางพิศอำไพกล่าวเพียงว่า ขอไม่พูดถึงประเด็นนี้ แต่เท่าที่รู้คือนายวีระเป็นเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เคลื่อนไหวต่อสู้ในเรื่องนี้กับกลุ่มมวลชนโดยตลอด จึงคิดว่าคงจะรักษาบทบาทสานต่อการทำงานตามเจตนารมณ์ต่อไป
ส่วน พ.ต.ท.สมเกียรติ ตันติกนกพร พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ กก.2 บก.ป.กล่าวว่า ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับนายวีระ ประกอบด้วย ข้อหาทำให้ปรากฎด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันไม่เป็นการกระทำตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง , บุกรุกท่าอากาศยานทำให้เสียทรัพย์, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 , ร่วมกันกระทำการให้การบริการของท่าอากาศยานหยุดชะงัก ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ โดยไม่มีข้อหาร่วมกันก่อการร้าย แต่อย่างใด
พ.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบความเรียบร้อยของเอกสารต่างๆ รวมทั้งขั้นตอนการพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติผู้ต้องหา โดยจะนัดหมายให้นายวีระ เข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ซึ่งขั้นตอนการสรุปสำนวนคดีหากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงจะส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนคดีต่อพนักงานอัยการต่อไป
ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร.พร้อมคณะ ได้เดินทางมาร่วมประชุมคณะทำงานติดตามคดีการจับกุมอาวุธสงครามจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมกันนั้นได้ร่วมประชุมติดตามการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหานายวีระในคดีปิดสนามบิน 2 แห่งด้วย
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เมื่อนายวีระได้รับอภัยโทษและปล่อยตัวกลับประเทศไทย ถือว่าเป็นข่าวดีของทางครอบครัวนายวีระ ส่วนการอายัดตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาในคดีปิดสนามบินนั้นเป็นไปตามขั้นตอนที่พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้ประสาน ตม.เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เบื้องต้นทราบว่าทนายความได้เตรียมยื่นเรื่องขอประกันตัวในชั้นสอบสวนแล้ว แต่การพิจารณาคงต้องดูเหตุผลความจำเป็นประกอบด้วย ซึ่งตนจะหารือร่วมกับคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้อีกครั้ง
จากนั้นเมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.อ.สมยศกล่าวภายหลังพนักงานสอบสวน บก.ป.ได้สอบปากคำนายวีระเสร็จสิ้นแล้วว่า ในการพิจารณาเรื่องการยื่นขอประกันตัวนายวีระ นั้น ทางทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 100,000 บาท เพื่อขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยทางพนักงานสอบสวนพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวได้ เนื่องจากมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่มีพฤติกรรมหลบหนี โดยมีเงื่อนไขให้นายวีระเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนอีกครั้งในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00 น. อย่างไรก็ตาม ทางทนายความระบุว่าจะทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรมอบให้พนักงานสอบสวนภายใน 60 วัน ก่อนจะสรุปสำนวนคดีนำส่งพนักงานอัยการต่อไป
ด้านนายวีระกล่าวเปิดใจว่า รู้สึกดีใจที่ได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยก่อนอื่นคงต้องขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่เป็นห่วง และขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ตนคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าทางการกัมพูชาจะเปลี่ยนใจพิจารณาปล่อยตัว ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเคยมีการเสนอข้อแลกเปลี่ยนแลกกับอิสรภาพของตน 3 ครั้ง แต่ตนรับไม่ได้เนื่องจากทำให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์
นายวีระกล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนคงต้องขอพูดเพียงเท่านี้ก่อน และหากต่อไปในอนาคตบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยดีแล้วตนคงจะได้เปิดเผยรายละเอียดอีกหลายๆ เรื่องในระหว่างที่ถูกดำเนินคดีและถูกคุมตัวในเรือนจำที่ประเทศกัมพูชา ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังจากนี้ตนก็ยืนยันว่าจะขอทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต่อไป เวลานี้คงต้องขอกลับไปพักผ่อนและรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะโรครูมาตอยด์ซึ่งเป็นโรคประจำตัว
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นอยู่ระหว่างที่ถูกคุมขังในเรือนจำประเทศกัมพูชา นายวีระกล่าวว่า ความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะอาหารการกินส่วนมากแล้วจะต้องทำกันเอง แน่นอนว่าอยู่ที่ไหนก็คงไม่มีความสุขเท่ากับอยู่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเรา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเวลาที่แถลงข่าวและเดินทางกลับออกจาก บก.ป. กลุ่มมวลชนจำนวนมากได้เดินทางมามอบดอกกุหลาบให้กำลังใจนายวีระ พร้อมกับชูป้ายข้อความ “Welcome back Mr.Veera” และกล่าวยินดีต้อนรับกลับประเทศ สลับกับตะโกนส่งเสียง “สู้ๆ” เป็นระยะ จากนั้นนายวีระได้ขึ้นรถเดินทางไปยังสำนักสันติอโศก ซอยนวมินทร์ 46 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.