“สมยศ” โต้ “จักรภพ” ยันไม่จำเป็นต้องสร้างหลักฐานคดีอาวุธปืน ชี้ยังมีคดีบุกบ้านป๋าเมื่อปี 50 เป็นชนักติดหลังอยู่
วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ด้านความมั่นคง กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามว่า กรณีการขออนุมัติออกหมายจับนายจักรภพ เพ็ญแข นั้นสืบเนื่องจากการจับกุมอาวุธปืนในพื้นที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่านายจักรภพมีส่วนรู้เห็นกับการนำมาซึ่งอาวุธ รู้เห็นการจัดหาอาวุธ ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างไรอยู่ในสำนวนคดี ซึ่งกรณีที่นายจักรภพออกมาโวยวายว่าตำรวจและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สร้างหลักฐานขึ้นมาเพื่อดำเนินการใช้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ตนยืนยันว่าตำรวจไม่จำเป็นต้องใช้ตรงนี้ เพราะนายจักรภพนั้นมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 215-216 ในกรณีนำมวลชนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) ปิดล้อมบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 คดีนี้สามารถดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้อยู่แล้ว
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานงานสอบสวนคดีอาวุธปืนทั้งหมด โดยมีตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่จะมีการนำสำนวนคดีอาวุธปืน อาวุธสงครามที่เกิดขั้น ทั้งนครบาล ภูธรภาค 1, 2, 4, 6 เข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด ซึ่งจะโยงใยให้เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม วันนี้ตำรวจได้ตรวจยึดอาวุธสงครามได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งนายภคภูมิ หรือสมศักดิ์ หรือจ่าโก โกศินานนท์ 1 ใน 8 ผู้ต้องหาคดีอาวุธสงครามตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ถูกตำรวจควบคุมตัวได้แล้ว ให้การว่ามีอาวุธปืนซุกซ่อนไว้ที่ตำบลคลอง 5 จ.ปทุมธานี
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีอาวุธปืน อาวุธสงคราม กำลังรวบรวมเชื่อมโยงคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเบื้องต้นมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่านายจักรภพมีความเกี่ยวข้องกับขอนแก่นโมเดลด้วย
ทั้งนี้ กฎหมายอาญามาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ