รรท.ผบ.ตร. เร่งรัดคดีที่เกี่ยวการใช้ระเบิดและอาวุธสงคราม และคดีหมิ่นสถาบันอย่างต่อเนื่อง โดยจะขอหมายจับ 9 คนร้ายที่ยิงถล่มเวที กปปส. ที่ตราด พร้อมประสานประเทศที่สาม ขอตัวโกตี๋ - ตั้ง อาชีวะ ในฐานะผู้ร้ายแดนข้าม
วันนี้ (1 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ประชุมเร่งรัดคดีเกี่ยวกับความรุนแรง การใช้ระเบิดและอาวุธสงคราม และคดีหมิ่นสถาบันโดย พล.ต.อ.เอก กล่าวภายหลังการประชุมเร่งรัดคดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ว่า วันนี้ตนได้ให้ผู้ที่รับผิดชอบคดีสำคัญต่างๆ มารายงานผลความคืบหน้าให้ พล.ต.อ.วัชรพล ได้รับทราบถึงความคืบหน้าในคดีที่รับผิดชอบ โดยคดีที่หมิ่นสถาบันที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็มีผู้ต้องหาที่สำคัญที่ถูกออกหมายจับแล้ว คือ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ และนายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ รวมถึงคนที่อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนคดีคือ น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเร่งรัดสืบสวนสอบสวน และในส่วนของผู้ต้องหาที่มีหมายจับนั้น ก็ต้องเร่งจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว
พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า ในกลุ่มคดีอุกฉกรรจ์ที่คนร้ายใช้อาวุธสงคราม และวัตถุระเบิดจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตนั้น โดยเริ่มจากคดีเหตุยิงนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง, เหตุการณ์ปะทะที่ดินแดง รวมไปถึงคดีที่คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มเวทีการชุมนุมของ กปปส. ที่ จ.ตราด จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งคดีนี้ล่าสุดมีความคืบหน้า คือ เราสามารถระบุตัวผู้ร่วมกระทำความผิดได้ทั้งหมด 9 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในการออกหมายจับ เพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป ซึ่งตนจะเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคดีคลี่คลายโดยเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของคดีหมิ่นสถาบันนั้น พอจะทราบที่อยู่ของผู้กระทำความผิดหรือไม่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบพิสูจน์ทราบก่อน และอาจมีการหารือกับฝ่ายความมั่นคง หรือในส่วนที่เกี่ยวข้องถึงการที่จะนำตัวมาดำเนินคดี ส่วนข่าวลือที่ว่า “โกตี๋” และ “ตั้ง อาชีวะ” มีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งตนก็ต้องขอตรวจสอบในเรื่องนี้ก่อน ทั้งนี้ หากพบว่ามีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น หากมีความชัดเจนในเรื่องนี้ ก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยจะมีการประสานขอความร่วมมือกับประเทศที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่าผู้ต้องหาอยู่ในประเทศดังกล่าวก็คงต้องมีการดำเนินการต่อไป ซึ่งต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนสอบสวนในเรื่องดังกล่าวก่อน