ดีเอสไอบุกเข้าชิงตัว “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” แกนนำ กปปส. ระหว่างเดินทางกลับจากสหรัฐฯ เพื่อไปร่วมงานพิธีวิวาห์หลานชาย เมื่อ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยถูก ตม.กักตัวไว้ที่สนามสุวรรณภูมิ ในระหว่างที่มีประกาศกฎอัยการศึก ซึ่ง “ผอ.รส.” ได้ร้องขอให้ชะลอการออกหมายจับไว้ก่อน แต่ดีเอสไออ้างว่าเป็นหมายจับค้างเก่า ด้านอ.เสรี ยันไม่เคยคิดหนี แต่เชื่อการเสนอออกหมายจับเป็นการกลั่นแกล้ง ล่าสุด กอ.รส.ได้มีคำสั่ง “ให้ระงับใช้กฎหมายทั้งปวงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดเป็นการชั่วคราว” เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
วันนี้ (21 พ.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เข้าจับกุมตัว ดร.เสรี วงษ์มณฑา แกนนำ กปปส.ขณะเดินทางกลับจากกระทั่ง ดร.เสรีเดินทางออกจากเมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา โดยเที่ยวบิน ทีจี 641 เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 12.30 น.ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินฯ เจ้าหน้าที่ได้กักตัวไว้ ขณะที่ดีเอสไอเสนอตัวเข้ามาเพื่อขอรับตัวไปดำเนินการส่งศาลต่อไป
ทังนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า การไล่ล่าจับกุมของดีเอสไอในครั้งนี้อยู่ในระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึก อยู่ในความรับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ ผอ.รส. ที่ได้ขอให้ชะลอการออกหมายจับไว้ก่อน แต่ดีเอสไออ้างว่ามีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งศาลที่อนุมัติหมายจับไว้ ไม่ใช่การไล่ล่าเพื่อจับกุมแกนนำ
โดยในคดีนี้ ศาลอาญาเพิ่งได้อนุมัติหมายจับ 30 ผู้ต้องหาคดีกบฏและความผิดอื่น รวม 8 ข้อหา เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อติดตามตัวมาดำเนินกระบวนการตามกฎหมายที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ประกอบด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ผู้ต้องหาที่ 2 นายชุมพล จุลใส ผู้ต้องหาที่ 3 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ต้องหาที่ 4 นายอิสสระ สมชัย ผู้ต้องหาที่ 5 นายวิทยา แก้วภราดัย ผู้ต้องหาที่ 6 นายถาวร เสนเนียม ผู้ต้องหาที่ 7 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 8 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้ต้องหาที่ 9 นายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ต้องหาที่ 11 นายอุทัย ยอดมณี ผู้ต้องหาที่ 12 พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ผู้ต้องหาที่ 14 นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ ผู้ต้องหาที่ 16 พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ผู้ต้องหาที่ 17 น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี หรือกฤดากร ผู้ต้องหาที่ 19 นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 23 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ต้องหาที่ 25 นายเสรี วงษ์มณฑา ผู้ต้องหาที่ 26 นายกิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ต้องหาที่ 27 นายถนอม อ่อนเกตุพล ผู้ต้องหาที่ 28 พระสุวิทย์ ทองประเสริฐ (พระพุทธะอิสระ) ผู้ต้องหาที่ 40 นายสาธิต เซกัล ผู้ต้องหาที่ 42 นายคมสัน ทองศิริ ผู้ต้องหาที่ 44 นายมั่นแม่น กะการดี ผู้ต้องหาที่ 47 นายประกอบกิจ อินทร์ทอง ผู้ต้องหาที่ 48 นายนัสเซอร์ ยีหมะ ผู้ต้องหาที่ 49 นายพานสุวรรณ ณ แก้ว ผู้ต้องหาที่ 50 น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ผู้ต้องหาที่ 54 นางทยา ทีปสุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 55 พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี ผู้ต้องหาที่ 56 และ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ผู้ต้องหาที่ 57 ยังจับตัวไม่ได้ จึงอนุญาตให้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 30 คนดังกล่าวข้างต้นเพื่อนำตัวมาฟ้องคดี
โดยให้หมายเหตุไว้ในหมายจับด้วยว่า “เจ้าพนักงานมีอำนาจควบคุมผู้ถูกจับได้เพียงเท่าที่จำเป็นในการนำตัวส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น”
ล่าสุด กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 7/2557 เรื่อง “ให้ระงับใช้กฎหมายทั้งปวงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดเป็นการชั่วคราว” เนื้อหาระบุว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้มีการประชุมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในวันที่ 21 พ.ค. 2557 นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก 2457 ให้ระงับการใช้กฎหมายทั้งปวงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2557 เวลา 13.00 น. จนสิ้นสุดการประชุมและเดินทางกลับ เฉพาะพื้นที่จัดการประชุมและพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องตามประกาศ กอ.รส.ฉบับที่ 6/2557 สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ประกาศ ณ วันที่ 21 พ.ค 2557
โดยก่อนหน้า ดร.เสรี ได้ให้สัมภาษณ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน ถึงกระแสเตรียมหลบหนีหมายจับว่า ตนได้มีการวางแผนการเดินทางไปต่างประเทศไว้ล่วงหน้าแล้ว แผนการเดินทางนี้ได้มีกำหนดเดินทางมาล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แล้ว ได้กำหนดภารกิจของการเดินทางไว้หลายเรื่อง ประการแรกเพื่อไปร่วมงานหลานชายที่จะทำพิธีแต่งงานซึ่งกำหนดวันไว้วันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้จองตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่ก่อนเดือนเมษายน ก่อนช่วงสงกรานต์ และได้ออกตั๋วเครื่องบินเพื่อเตรียมเดินทางในช่วงปลายเดือนเมษายนแล้ว ในระหว่างที่กำลังจะเดินทางออกไปตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ตอนนั้นยังไม่มีหมายจับ ถ้ามีหมายจับจะเดินทางออกไปนอกประเทศได้อย่างไร ทั้งนี้ หมายจับที่ออกมาในวันที่ 14 พฤษภาคม จึงเป็นการออกหมายมาทีหลัง ดร.เสรีได้เดินทางการออกไปก่อนที่จะออกหมายจับ จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการหนีหมายจับ
ประการที่ 2 ในการเดินทางไปสหรัฐฯ ครั้งนี้ได้นัดกับแกนนำ กปปส.ในรัฐต่างๆ หลายรัฐที่จะไปปราศรัยเพื่อให้ความรู้ซึ่งต่อมาเมื่อทราบว่ามีเรื่องการออกหมายจับ ก็ได้โทร.ปรึกษาทนายเพื่อหารือเรื่องการมอบตัว ซึ่งทนายได้กำหนดวันกลับมาเมืองงไทยเพื่อมามอบตัวในวันที่ทนายสะดวก
“ไม่เคยคิดที่จะหนีแต่อย่างใด เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคำว่ากบฏ”
ดร.เสรีกล่าวต่อโดยยืนยันว่าสิ่งทำไปก็คือ การเป็นวิทยากรให้ข้อมูลแก่มวลมหาประชาชน มีทั้งข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์แยกผิดแยกถูกตามหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาลแก่มวลมหาประชาชนที่ชุมนุมกันอย่างสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ ตามสิทธิที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 69