สน.พระอาทิตย์
แม้จะยังไม่มีใครยืนยันกองทัพสีกากีชั่วโมงนี้มีท่าทีเช่นไรต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังศาลรัฐธรรมนูญเขี่ย ยิ่งลักษณ์ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และอีก 9 รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง จากกรณีแต่งตั้งโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ยังไม่มีใครรู้ได้ แต่ดูทีท่าตำรวจผ่านปฏิกิริยา “ผบ.อู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพใหญ่กรมปทุมวันช่วงหลังๆก็ต้องบอกว่า “เปลี๋ยนไป๋”
ก่อนหน้านี้ ท่าทีสีกากีต่อสถานการณ์การเมืองที่กลุ่ม กปปส. ออกมาชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ “ตำรวจ” ถือเป็นทัพหลักถือเป็นทัพหน้า เป็นไม้เป็นมือให้กับรัฐบาลในการควบคุมปราบปรามการชุมนุมยามที่ทัพทหารออกอาการดื้อตาใส เล่นเกมลึก
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงสลายผู้ชุมนุมหน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง วันที่ปิดรับสมัครรับเลือกตั้ง จนมีภาพความบ้าคลั่งของตำรวจที่กระหน่ำทุบตีรถกระบะอาสาสมัครพยาบาลกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประขาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เช่นเดียวกับช่วงวันมาฆบูชาและวันแห่งความรัก วาเลนไทน์เดย์ ตำรวจก็รับคำสั่งศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) บุกขอคืนพื้นที่การชุมนุม บริเวณแยกมิกสักวัน ใกล้ประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล รื้อเต็นท์ รื้อยางรถยนต์ สิ่งกีดขวางต่างๆของผู้ชุมนุมและเกิดการปะทะกับผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง
กระทั่งระยะหลังๆโดยเฉพาะตั้งแต่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีที่ถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศรส. และ ผบ.ตร. เพิกถอนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และห้ามใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมซึ่งแม้ศาลแพ่งมีคำพิพากษาไม่เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็มีข้อกำหนดห้าม 9 ข้อ ทำให้ “ผบ.อู๋” ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ขณะนั้น ก็มีคำสั่งส่งถึงลูกน้องตำรวจทั่วประเทศ
งดการใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส.!!!
พล.ต.อ.อดุลย์ ให้เหตุผลการงดใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส. ว่าเพื่อให้การปฏิบัติตามคำบังคับใช้ของศาลแพ่งจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่หรือรับมอบหมายในเขตท้องที่ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน งดการใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส. ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ลงวันที่ 21 ม.ค. 57 และข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.4248 ลงวันนที่ 23 ม.ค. 57โดยให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดไปตามกฎหมายปกติ
ตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนทีท่าตำรวจเริ่มเปลี่ยนไปการรับใช้รัฐบาล รับทำงานให้กับ ศอ.รส. แม้จะยังไม่ถอนตัวยกยวง หรือดื้อตาใสเหมือนกับขุนทหารแต่อาการ “เกียร์ว่าง” ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประตูสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 ให้ แกนนำกลุ่ม กปปส. คู่ปรับรัฐบาลคู่กรณี ศอ.รส. ยกพลเข้าไปภายในเพื่อยื่นหนังสือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดการกวดขันจับกุมคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกลุ่ม กปปส. และเครือข่าย ซึ่งแม้ พล.ต.อ.อดุลย์ จะไม่มีลงมารับหนังสือเองแต่ก็ส่งระดับนายพลมารับหนังสือจากมือแกนนำ กปปส. ด้วยตัวเอง ชนิดหักหน้า ศอ.รส.โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศอ.รส. ที่ประกาศไม่ให้ข้าราชการหน่วยงาน กระทรวงใดต้อนรับผู้ชุมนุมกลุ่มที่ตัวเองรียกว่ากบฏ
เช่นเดียวกับคดีไม้หนึ่ง ก.กุนที กมล ดวงผาสุข กวีเสื้อแดงถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตลาจอดรถร้านอาหารแห่งหนึ่งถึงกลุ่มคนเสื้อแดงพยายามเร่งจี้คดีให้ตำรวจจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายและตำรวจก็ขึงขังออกข่าวอยู่ระยะหนึ่งว่าจะออกหมายจับผู้ต้องหา แต่สุดท้ายจนถึงป่านนี้คดีก็เงียบไปยังไม่มีการอออกหมายจับหรือฟันธงสาเหตุการเสียชีวิตออกมาปล่อยให้ทุกสิ่งเลือนหายไปตามกาลเวลา
ทั้งๆ ที่ในทางลับตัวละครที่เกี่ยวข้องคนสีกากีรู้กันยกเซ็ตแล้วก็ตาม
ตัวผู้นำสีกากีเองก็ดูจะชัดในระดับที่ไม่แปลกใจเหตุใดลุงกำนัน - สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. เอื้อนเอ่ยชมไม่ขาดปากบนเวทีบ่อยครั้ง เพราะในวันที่ กปปส. นัดชุมนุมใหญ่ ใช้ฤกษ์ 09.09 น. วันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา และเคลื่อนขบวนเป็นสายไปตามสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมทั้งทัพใหญ่ลุงกำนันไปบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ฐานทัพใหญ่รัฐบาล แต่ พล.ต.อ.อดุลย์ กลับไม่อยู่บัญชาการด้วยตัวเอง
พล.ต.อ.อดุลย์ ไปปรากฏตัวอยู่ที่ จ.มุกดาหาร นั่งหัวโต๊ะมอบนโยบายการทำงานให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ
มุมหนึ่งอาจจะมองว่า พล.ต.อ.อดุลย์ มอบหมายให้ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ดูแลการชุมนุมและประสานการทำงานกับ ศอ.รส. อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
แต่อีกมุมหนึ่งก็อดจะอนุมานเอาไม่ได้ว่า “ผบ.อู๋” ชิ่ง เพราะก่อนที่ กปปส. จะชุมนุมใหญ่ไม่กี่วัน ศาลรัฐธรรมนูญพึ่งตัดสินคดี เช่นเดียวกับ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายกฯยิ่งลักษณ์ โครงการจำนำข้าว โดยเฉพาะการชี้ขาดสภาพรัฐมนตรีของศาลรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงไปถึงรัฐมนตรีที่นั่งกุม ศอ.รส. ซึ่งยังไม่รับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหาก พล.ต.อ.อดุลย์ยังรับคำสั่งรัฐมนตรีดังกล่าวอยู่ก็สุ่มเสี่ยงไม่รับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ท่าที “ทัพสีกากี” ยามนี้เลยต้องบอกว่าชัดเจนเอาตัวรอด “ลอยแพ” รัฐบาลปู แล้ว