สน.พระอาทิตย์
งานเข้าแล้วล่ะซิ “บิ๊กข้าวกล่อง”พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว แม่ทัพใหญ่สีกากี ต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปหลังปล่อยให้ตำรวจเมืองนนท์จับมือกับทหารยกกำลังนับร้อยปูพรมเข้าตรวจค้นจุดชุมนุมของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ที่ปักหลักต่อต้านคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่หน้าสำนักงานฯสนามบินน้ำ
จับกุมผู้ต้องสงสัย 4 คนที่เป็นการ์ดและผู้ชุมนุม กวป.พร้อมอาวุธสงครามทั้งปืนอาก้า เครื่องยิงกระสุน M79 ปืน AK47 ปืนลูกซองยาว ลูกระเบิดขว้าง RGB5 และกระสุนปืนหลายร้อยนัด จนทำให้คนเสื้อแดงออกอาการระแวงไม่ไว้ใจ
อาการระแวงไม่ไว้ใจของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฐานกำลังหลักรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในสนามการเมืองข้างถนนถูกสะท้อนออกมาในระหว่างการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ที่มี “เป็ดบางบอน” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศอ.รส.นั่งหัวโต๊ะ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังตำรวจเพิ่งจับกุมกลุ่ม กวป.เครือข่ายคนเสื้อแดงไม่กี่ชั่วโมง
เสียงสะท้อนถูกถ่ายทอดออกมาจาก “ไอ้ย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร.น้องเลิฟเป็ดเหลิมรายงานสถานการณ์การเมืองแสดงความกังวลจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่เริ่มไม่พอใจการทำงานของ ศอ.รส.และตำรวจ เนื่องจากมองว่าการปฏิบัติหน้าที่สองมาตรฐาน มีการจับกุมคนเสื้อแดงแต่กลับไม่ทำอะไรผู้ชุมนุม กปปส.
โดยเฉพาะกรณีที่กลุ่ม กวป.ชุมนุมหน้า ป.ป.ช.แล้วถูกจับในข้อหาพกพาอาวุธ และเป็นผู้ต้องสงสัยในการยิงระเบิด M79 เข้าใส่อาคาร ป.ป.ช.ต่างจากกลุ่ม กปปส.แจ้งวัฒนะมีพฤติกรรมพกพาอาวุธเช่นกัน แต่กลับไม่เคยถูกจับกุมหรือดำเนินคดีใดๆ
เล่ากันว่า “เป็ดเหลิม” ถึงกับแสดงความกังวล เกรงจะถูกนำไปขยายความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงต้องกำชับเจ้าหน้าที่ไปทำความเข้าใจถึงการจับกุมคนเสื้อแดงเป็นเพราะหัวหน้าส่วนราชการนั้นเป็นผู้แจ้งความให้ดำเนินคดีไม่ใช่ ศอ.รส.หรือตำรวจ
จะว่าไปท่าทีเปลี่ยนไปของ “แม่ทัพใหญ่สีกากี” ไม่ใช่เพิ่งถูกหวาดระแวงจากคนเสื้อแดงหรือจาก “ตำรวจมะเขือเทศ” แค่ช่วงนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มีกลิ่นตุตุจากทีท่า “ผบ.อู๋” ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา จนมีเสียงวิจารณ์หลังไมค์ลับๆหลายๆ วงสนทนาตั้งแต่ศาลขีดวงจำกัดการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พล.ต.อ.อดุลย์ ก็เซ็นคำสั่งให้ลูกน้องไม่ต้องฟังคำสั่ง ศรส.ยึดตามศาล
ต่อด้วยวันที่ กปปส.เข้ายื่นหนังสือเร่งรัดคดี อดุลย์ก็ลงมารับหนังสือด้วยตัวเองจากนั้นบนเวที กปปส.ลุงกำนันก็หยอดคำหวานถึง “บิ๊กอู๋” แบบหยดย้อย และบทบาทของ พล.ต.อ.อดุลย์ กับการชุมนุมกลุ่ม กปปส.ก็หายๆ ไป ไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่ถ้าไม่แยกเขี้ยวใส่ก็ให้ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก สตช.ออกมาป้ายสีใส่ผู้ชุมนุมแทบจะวันเว้นวัน
ที่สำคัญท่ามกลางความอึมครึมต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของ พล.ต.อ.อดุลย์ ก็มีเสียงลือสะพัดในท่วงทำนอง “ผบ.อู๋” ถูกรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่นในกองทัพเรียกไปเป่ากระหม่อมรวมทั้งว่ากันถึงขนาดหลังเกษียณอายุราชการ มีแนวโน้มที่จะได้รับการเสนอชื่อคัดเลือกในตำแหน่งสำคัญฝุดๆ ตลอดชีวิตด้วย
ยิ่งการจับกุมการ์ด กวป.ครั้งนี้ ไม่ว่า “เป็ดเหลิม” จะอ้างการจับกุมคนเสื้อแดงเป็นเพราะหัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้แจ้งความให้ดำเนินคดีก็ดูฟังไม่ขึ้นหากย้อนดูปฏิบัติการจู่โจมจับกุมกวป.ก็ยิ่งไม่แปลกใจเหตุใดคนเสื้อแดงถึงหวาดระแวงตำรวจเพราะตามปกติการเข้าตรวจค้นจะไม่ค่อยทำกันตอนกลางคืน แต่ครั้งนี้หลัง 4 ทุ่มเศษๆเกิดเหตุยิง M79 ใส่ สำนักงาน ป.ป.ช. 2 ลูก ตอนตี 2 กว่าตำรวจเมืองนท์ก็สนธิกำลังกับทหารเข้าตรวจค้นบริเวณจุดชุมนุม กวป.ทันทีซึ่งทหารคงไม่สามารถเข้าร่วมได้ถ้าตำรวจไม่ร้องขอ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกยกเลิกแล้วเหลือเพียง พ.ร.บ.ความมั่นคงทหารทำหน้าที่เพียงผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ถ้าไม่มีการร้องขอทหารก็อยู่ที่ตั้ง หรืออยู่ที่บังเกอร์ตามคำสั่ง กอ.รมน.ที่มาอำนวยความสะดวกประชาชนเท่านั้น
ขณะที่กำลังตำรวจที่เข้าตรวจค้นกลุ่มผู้ชุมนุม กวป.ซึ่งต่างก็รู้อยู่ว่าเป็นเครือข่ายคนเสื้อแดง และอยู่ข้างฝ่ายรัฐบาล เพราะมาประท้วง ป.ป.ช.ก็จากเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำลังสอบสวนเรื่องโครงการรับจำนำข้าวรัฐบาลที่มี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อยู่ในข่ายถูกดำเนินคดี ลำพังเพียงตำรวจโรงพักนนทบุรี หรือตำรวจภูธรนนทบุรีคงไม่กล้าที่จะเข้าตรวจค้นกลางดึก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องได้รับคำสั่งจากระดับผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสูงสุด
นั่นก็คือ “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”!!!
การดำเนินการครั้งนี้จะด้วยเหตุผลปฏิบัติตามหน้าที่ เพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมและความเป็นกลางในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม แต่ผลที่ชัดเจนที่สุดคือกลุ่ม กวป.เครื่อข่ายคนเสื้อแดงตอนนี้ตกเป็นจำเลยสังคมต่อเหตุการณ์ความรุนแรงหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้นจากอาวุธปืน M79 หรือระเบิดชนิดต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่พบในกลุ่มกวป.ทั้งสิ้น
เมื่อตำรวจมะเขือเทศกลายพันธุ์เลยไม่แปลกใจเหตุใดคนเสื้อแดงเกิดความหวาดระแวง ศอ.รส.ตำรวจและอาจจะเลยไปถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ดูเหมือนกำลังจะเหยียบศพพวกเดียวกันก้าวฟันฝ่ากระแสการเมืองที่เขม็งเกรียวหรือคำพูด “ตู่คางคก”ที่เคยว่าไว้สมัยน้อยใจนายใหญ่
“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” จะเกิดขึ้นจริง