กองปราบจับหนุ่มปัตตานี ผู้ต้องสงสัยร่วมก่อเหตุใช้ จยย.บอมม์ ใส่ทหาร ดับ 2 ราย ที่ จ.ยะลา สารภาพเป็นบุคคลตามหมายจับ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา อ้างขณะเกิดเหตุอยู่ใน กทม.ตำรวจยันมีพยานหลักฐานชัดเจนเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2-3 ราย
วันนี้ (15 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบก.ป.พร้อมด้วย พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผกก.1 บก.ป.และ พ.ต.ท.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.1 บก.ป.แถลงข่าวการจับกุม นายมูฮัมหมัดกอซี บือโต อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ ฉฉ 21/2556 ลงวันที่ 29 พ.ค. 2556 ในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยตามพระราชกำหนดการบิริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11(1) ร่วมกับพวกก่อเหตุร้ายแรงลอบวางระเบิดในจังหวัดยะลา โดยจับกุมตัวได้ที่ ถนนสุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า เหตุการณ์สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 มี.ค.2556 ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารพราน 3308 ได้เดินทางกลับจากจุดตรวจบริเวณถนนเลียบแม่น้ำปัตตานี เมื่อถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้จอดรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไว้ที่บริเวณประตูน้ำใกล้สวนศรีเมือง ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา จากนั้นได้จุดระเบิดด้วยวิทยุสื่อสาร ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 6 ราย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย โดยนายมูฮัมหมัดกอซี เป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ประกอบระเบิดแล้วไปจอดไว้ยังที่เกิดเหตุ จากนั้นให้ผู้ร่วมก่อเหตุอีกคนเป็นผู้จุดชนวนระเบิด หลังจากก่อเหตุ นายมูฮัมหมัดกอซี ได้หลบหนีออกจาก จ.ยะลา เข้ามาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวต่อว่า จากการสอบสวน นายมูฮัมหมัดกอซี ให้การรับสารภาพว่า เป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว โดยอ้างว่าได้เข้ามาพักอาศัยและศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ นานกว่า 2 ปี แล้ว และขณะเกิดเหตุได้อยู่ในกรุงเทพฯ
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า แนวทางการสืบสวนมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า นายมูฮัมหมัดกอซี มีส่วนเกี่ยวข้องจริง ซึ่งมีข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ หลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด ยืนยันความเกี่ยวข้อง และยังมีพยานที่ยืนยันชัดเจน ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2-3 ราย
เบื้องต้นเจ้าหน้าได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งศูนย์ปฏิบัติการชายแดนภาคใต้ (ศชต.) เพื่อสอบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
