สตช. ระบุผู้โดยสาร 2 รายบนเที่ยวบินมาเลเซียแอร์ไลนส์ MH370 ที่สูญหายไป ถือหนังสือเดินทางอิตาลีและออสเตรียที่ถูกขโมยไปนั้น ยืนยันนักท่องเที่ยวสัญชาติอิตาลีและออสเตรีย ซึ่งได้เดินทางเข้าไทยเมื่อเดือน ม.ย. 56 ได้มีการแจ้งหนังสือเดินทางหายไว้แล้วที่สภ.ภูเก็ต และมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลตำรวจสากล ตามขั้นตอนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
วันนี้(10มี.ค) จากกรณีเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์เที่ยวบิน MH370 ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อกลางดึกของวันเสาร์ (8) เพื่อไปยังปลายทางกรุงปักกิ่ง เกิดสูญหายไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือน่านน้ำระหว่างเวียดนามและมาเลเซียหลังเครื่องบินเทกออฟไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมง
ต่อมาพบว่า การสูญหายของเครื่องบินลำนี้เริ่มถูกมองเป็นประเด็น “ก่อการร้าย” เมื่อพบว่าผู้โดยสารอย่างน้อย 2 คนขึ้นเครื่องบินด้วยหนังสือเดินทางที่ขโมยมาจากบุคคลอื่น โดยเจ้าของหนังสือเดินทางที่แท้จริงซึ่งเป็นชาวอิตาลีและชาวออสเตรียยังคงปลอดภัยดี
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. เปิดเผยกรณีสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่สูญหาย ปรากฎว่ามีผู้โดยสาร 2 ราย คือนายรุยจิ มาราลิด(Luigi Maraldi) สัญชาติอิตาลี เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.56 เที่ยวบิน TG945 ใช้หนังสือเดินทางหมายเลข YA3189197 ได้มีการแจ้งหายที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือน มิ.ย.56 ที่ผ่านมา และนายชิสชั่น โคเซล(Cheiston Kozel) สัญชาติออสเตรีย เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 8มี.ค55 เที่ยวบิน TG925 หนังสือเดินทางหมายเลข T2979523 มีการแจ้งหายที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนมี.ค.55ที่ผ่านมา ซึ่งทางการมาเลเซีย ระบุว่าใช้หนังสือเดินทางปลอม จึงมีการตรวจสอบของตำรวจภูธร จ.ภูเก็ตและสตม. ปรากฏว่ามีการบันทึกข้อมูลการแจ้งหายของหนังสือเดินทางดังกล่าว เเละมีการเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลของตำรวจสากล ทางเลขาธิการตำรวจสากลจึงออกมายืนยันว่าข้อมูลการแจ้งหายของหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลขององค์การตำรวจสากลทุกๆประเทศ สามารถตรวจสอบได้ว่าหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มได้มีการแจ้งหายเอาไว้
นอกจากนี้พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้กำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.), กองการต่างประเทศ และสันติบาลให้ติดตามความคืบหน้า รวมทั้งให้กองการต่างประเทศประสานงานกับผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย แจ้งว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือทั้งเครื่องบินตำรวจ ตำรวจน้ำ ทีมพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเมื่อร้องขออย่างเต็มที่ และให้ทุกหน่วยโดยเฉพาะสตม. กองการต่างประเทศ และสันติบาล รวมทั้งกองบัญชาการในพื้นที่ทุกแห่ง ติดตามสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีปลอมแปลงหนังสือเดินทาง รวมทั้งตรวจสอบกรณีเคยมีการแจ้งความหรือมีการจับกุม เพื่อทำการขยายผลและป้องกันปราบปราม ด้านศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้า ให้วางระบบเรื่องการรับแจ้งหนังสือเดินทางหายของทุกสถานีตำรวจ โดยให้เชื่อมโยงผ่านระบบ CMIS ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อจะได้เชื่อมโยงกับระบบ PIBICS ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับหมายจับของตำรวจสากล
วันนี้(10มี.ค) จากกรณีเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์เที่ยวบิน MH370 ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อกลางดึกของวันเสาร์ (8) เพื่อไปยังปลายทางกรุงปักกิ่ง เกิดสูญหายไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือน่านน้ำระหว่างเวียดนามและมาเลเซียหลังเครื่องบินเทกออฟไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมง
ต่อมาพบว่า การสูญหายของเครื่องบินลำนี้เริ่มถูกมองเป็นประเด็น “ก่อการร้าย” เมื่อพบว่าผู้โดยสารอย่างน้อย 2 คนขึ้นเครื่องบินด้วยหนังสือเดินทางที่ขโมยมาจากบุคคลอื่น โดยเจ้าของหนังสือเดินทางที่แท้จริงซึ่งเป็นชาวอิตาลีและชาวออสเตรียยังคงปลอดภัยดี
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกตร. เปิดเผยกรณีสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่สูญหาย ปรากฎว่ามีผู้โดยสาร 2 ราย คือนายรุยจิ มาราลิด(Luigi Maraldi) สัญชาติอิตาลี เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.56 เที่ยวบิน TG945 ใช้หนังสือเดินทางหมายเลข YA3189197 ได้มีการแจ้งหายที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือน มิ.ย.56 ที่ผ่านมา และนายชิสชั่น โคเซล(Cheiston Kozel) สัญชาติออสเตรีย เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 8มี.ค55 เที่ยวบิน TG925 หนังสือเดินทางหมายเลข T2979523 มีการแจ้งหายที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนมี.ค.55ที่ผ่านมา ซึ่งทางการมาเลเซีย ระบุว่าใช้หนังสือเดินทางปลอม จึงมีการตรวจสอบของตำรวจภูธร จ.ภูเก็ตและสตม. ปรากฏว่ามีการบันทึกข้อมูลการแจ้งหายของหนังสือเดินทางดังกล่าว เเละมีการเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลของตำรวจสากล ทางเลขาธิการตำรวจสากลจึงออกมายืนยันว่าข้อมูลการแจ้งหายของหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลขององค์การตำรวจสากลทุกๆประเทศ สามารถตรวจสอบได้ว่าหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มได้มีการแจ้งหายเอาไว้
นอกจากนี้พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้กำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.), กองการต่างประเทศ และสันติบาลให้ติดตามความคืบหน้า รวมทั้งให้กองการต่างประเทศประสานงานกับผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย แจ้งว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือทั้งเครื่องบินตำรวจ ตำรวจน้ำ ทีมพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเมื่อร้องขออย่างเต็มที่ และให้ทุกหน่วยโดยเฉพาะสตม. กองการต่างประเทศ และสันติบาล รวมทั้งกองบัญชาการในพื้นที่ทุกแห่ง ติดตามสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีปลอมแปลงหนังสือเดินทาง รวมทั้งตรวจสอบกรณีเคยมีการแจ้งความหรือมีการจับกุม เพื่อทำการขยายผลและป้องกันปราบปราม ด้านศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้า ให้วางระบบเรื่องการรับแจ้งหนังสือเดินทางหายของทุกสถานีตำรวจ โดยให้เชื่อมโยงผ่านระบบ CMIS ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อจะได้เชื่อมโยงกับระบบ PIBICS ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับหมายจับของตำรวจสากล