ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี “ร.ต.ท.เชาวรินธร์” ฉ้อโกงหลอกขายจตุคามรามเทพ รุ่น “ทรัพย์สินเนืองนอง เงินทองไหลมา” ปี 50 แต่จำเลยรับสารภาพลดโทษ เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
คลิกเพื่อรับชมคลิป...
ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันนี้ (20 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2084/2555 ที่เจ้าพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343
คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 พ.ค. - 30 มิ.ย. 2550 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้บังอาจกระทำผิดกฎหมาย เจตนาทุจริต โดยหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงที่ควรบอกแก่ประชาชน โดยนำข้อความลงประกาศในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ในวันที่ 16 มิ.ย. 2550 เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปสั่งจองและซื้อวัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น “ทรัพย์สินเนืองนอง เงินทองไหลมา” โดยจำเลยได้เป็นประธานกรรมการในการจัดสร้าง พร้อมกับปลุกเสกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และศาลหลักเมือง ที่ล้วนเป็นเท็จ เพราะความจริงแล้วไม่มีการนำวัตถุมงคลดังกล่าวไปปลุกเสกตามสถานที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด ทำให้มีประชาชนทั่วไปจำนวนมากสั่งจองและจ่ายเงินวัตถุมงคลดังกล่าว ทั้ง ร.ต.นพดล เดชาฤทธิ์ จ่ายเงินจำนวน 1,791 บาท และนายสุริยาวุธ มีบุญมาก จำนวน 1,194 บาท ให้แก่จำเลย เหตุเกิดที่แขวงบรมมหาราชวัง, แขวงเสาชิงช้า, เขตพระนคร, จ.ราชบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ภายหลังสืบพยานไปบางส่วนจำเลยขอถอนคำแถลงให้การ ปฏิเสธ และให้การใหม่โดยรับสารภาพ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 343 วรรคแรก ฐานฉ้อโกงประชาชน ลงโทษจำคุก 3 ปี ทั้งนี้เมื่อสืบพยานไปบางส่วน จำเลยได้แถลงขอรับสารภาพ จึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ส่วนคำขออื่นให้ยก
สำหรับคดีนี้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้ขออนุญาตสำนักพระราชวังบวงสรวงพระแก้วมรกต และพระบุรพมหากษัตริย์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการบูรณะเปลี่ยนพื้นหินอ่อน พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ จ.ราชบุรี ซึ่งทางสำนักพระราชวังได้อนุญาตไปเพียงเท่านั้น ไม่เคยอนุญาตให้ปลุกเสกองค์จตุคามรามเทพ โดย ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้จัดสร้างจตุคามรามเทพ ขึ้นจำนวน 4 หมื่นองค์ ให้เช่าในราคาองค์ละ 199 บาท
สำหรับ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ มีชื่อเดิมว่า “เชาวริน” ก่อนเปลี่ยนเป็น “เชาวรินทร์” และ “เชาวรินธร์” ตามลำดับ เคยเป็น ส.ส.พรรคชาติไทยหลายสมัย และตั้งฉายาให้ตัวเองว่าเป็น “ส.ส.สากกะเบือ” เคยเป็นข่าวอื้อฉาวกรณีเข้าไปขุดถ้ำลิเจีย จ.กาญนบุรี โดยอ้างว่ามีทองคำญี่ปุ่นฝังอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่พบอะไร ต่อมาในปี 2550 ได้ย้ายมาอยู่พรรคพลังประชาชนที่เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบ และได้รับเลือกเป็น ส.ส.ระบบสัดส่วน ภาคกลาง ปี 2551 เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบและตั้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมาแทน ก็ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2554 ร.ต.ท.เชวรินธร์ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 100 และไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา
ต่อมา ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 2 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท
ภายหลังได้ประกันตัว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวว่า คดีนี้ตนได้สร้างจตุคามรามเทพ เพื่อจะหาเงินในการบูรณะอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ในจังหวัดราชบุรี โดยบริเวณฐานทรุดตัวเนื่องจากหินอ่อนที่ปูไว้แตกหัก ขณะเดียวกันในการจัดสร้างก็ได้ให้โรงเรียน 9 แห่งในจังหวัดราชบุรีรับจองให้กับประชาชนทั่วไป ส่วนเงินค่าจององค์จตุคามฯ ก็มอบให้โรงเรียนดังกล่าวทั้งหมด ไม่คิดว่าเงินค่าจองเพียง จำนวน 2,895 บาท จะทำให้ตนเองติดคุก ทั้งที่ได้จ่ายเงินคืนผู้เสียหายไปแล้ว แต่ก็ยอมรับคำพิพากษาของศาล และจะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป