หลังกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. ก็เกิดเหตุวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ธาตุแท้ของความเป็นอันธพาลก็ปรากฏให้เห็น เริ่มตั้งแต่ออกมายั่วยุฝ่ายตรงข้าม บงการจ้างเด็กแว้นไล่กระทืบชาวบ้านและนักศึกษาที่แขวนนกหวีดและติดริบบิ้นสัญลักษณ์ธงชาติไทย จนบาดเจ็บหลายคน นอกจากนี้ยังข่มขู่คุกคามผู้ที่ไปออกกำลังกายในการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. โดยถามว่า “มึงเสื้อไหน” สร้างความเอือมระอาไปทั่วย่านรามคำแหง
กระทั่งสายวันที่ 30 พ.ย. กลุ่มนักศึกษารามคำแหง และชาวบ้านละแวกดังกล่าวที่ทนพฤติกรรมไม่ไหว หลังแดงฮาร์ดคอร์กลุ่มหนึ่งไปลบหลู่สัญลักษณ์ของชาวรามคำแหง จึงรวมตัวชุมนุมกันบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้วยความรู้สึกโกรธแค้นที่ถูกกระทำมาก่อน เมื่อเจอคนเสื้อแดงที่เดินทางมาชุมนุมที่สนามราชมังคลาฯ ก็เข้าไปไล่ให้ไปชุมนุมที่อื่น จนเกิดการปะทะกันเป็นระยะๆ ได้รับบาดเจ็บไปฝั่งละนิดละหน่อย
ขณะที่ “ตำรวจมะเขือเทศ” กลับเมินเฉย จนชาวบ้านและนักศึกษารามคำแหง ที่พักอาศัยอยู่ละแวกหัวหมาก รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ขณะที่คำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือตำรวจของประชาชน” ถูกกลืนหายไปจากความทรงจำ เมื่อผู้รักษากฎหมายรู้เห็นเป็นใจกับกองกำลังซึ่งมีรบ.ซ่องโจรอยู่เบื้องหลัง การรวมพลังของประชาชนและนักศึกษารามคำแหง เพื่อตอบโต้กับพวกนิยมความรุนแรงก็เกิดขึ้นโดยปริยาย
เย็นวันนั้น เหตุการณ์วุ่นวายไร้ขื่อแปเกิดขึ้นไปทั่ว ชาวบ้านและนักศึกษาบางส่วนที่ไม่พอใจคนเสื้อแดงก็ได้จับกลุ่มบริเวณหน้าปากซอยรามคำแหง 61 พร้อมทั้งตะโกนขับไล่ให้เสื้อแดงออกไปจากสนามราชมังคลาฯ เพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมสุดถ่อยก่อนหน้านี้ โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลจากกองบัญชาการตำรวจภูภรภาค 1 ประมาณ 20 นาย พร้อมโล่และกระบองคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ด้านทางหน้าทางเข้า การกีฬาแห่งประเทศไทย โดยมีการ์ดเสื้อแดงหลายคนซุ่มสังเกตการณ์อยู่หลังแนวตำรวจ ซึ่งห่างกันกับผู้ชุมนุมต่อต้านเสื้อแดงประมาณ 100 เมตร
ค่ำคืนนั้น...ไฟนีออนบริเวณทางเข้า กกท.ถูกดับสนิท เหมือนมีการเตรียมการบางอย่างไว้ คงมีเพียงแสงไฟสีส้มจากบนถนนรามคำแหงที่ส่องสว่างพอเห็นความเคลื่อนไหวของบางสิ่งได้
สองทุ่มกว่าๆ สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ได้ขว้างปาขวด ท่อน ไม้และก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล จนตำรวจต้องถอยไปอยู่แนวเดียวกับการ์ดเสื้อแดง ระหว่างนั้นเสียงพลุ เสียงประทัดยักษ์ถูกปามาจากแนวการ์ดเสื้อแดงและแนวตำรวจ ก่อนเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มถูกยิงเข้าราวนมซ้าย กระสุนทะลุหลัง นอนหายใจรวยริน ก่อนที่เพื่อนๆ จะนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทำให้กลุ่มนักศึกษาและชาวบ้านต้องหนีตายเอาชีวิตรอดกันจ้าละหวั่น
ปากซอยรามคำแหง 61 จึงสงบเงียบไปสักพัก แต่พอสามทุ่มกว่าๆ เสียงพลุเสียงปะทัดยักษ์ก็ดังขึ้นอีก จากนั้นเสียงระเบิดปิงปองก็ดังสนั่นหวั่นไหวอีกหลายลูก และเสียงปืนก็ถูกรัวเข้ามาในซอยอีกหลายนัด แล้วก็เงียบไปอีก
ต่อมาเมื่อ 4 ทุ่มกว่าๆ ชาวบ้านคิดว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงพากันออกมาหาข้าวหาปลากินเนื่องจากหน้ารามฯ ร้านค้าได้ปิดไปหลายร้าน เปิดอยู่ไม่กี่ร้านที่อยู่ในซอยรามคำแหง 61 ระหว่างนั้นมีเฮลิคอปเตอร์บินวน 2 ลำ และมีรถบัส 2 ชั้นวิ่งเข้ามาจอดในแนวคนเสื้อแดง จากนั้นเสียงปืนรัวยิงใส่ชาวบ้านที่กำลังนั่งกินข้าวและน้ำชา-กาแฟ อย่างสนั่นหวั่นไหว สลับเสียงระเบิดปิงปองดังกึกก้องเหมือนแดนมิคสัญญี ทำให้ชาวบ้านที่กำลังกินข้าว กินน้ำชาต่างวิ่งหนีตายหาที่หลบซ่อนวิถีกระสุน ระหว่างนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นอีกนับไม่ถ้วนจากมือปืนจากแนวการ์ดเสื้อแดงและตำรวจก็ยังดังต่อเนื่องจนถึงรุ่งสางของอีกวัน
กระทั่งตอนเช้า ชาวบ้านเดินไปสำรวจภายในซอย พบว่ารถตู้ถูกยิงจนพรุน ร้านค้าหลายร้านเต็มไปด้วยรูกระสุน และรอยระเบิดปิงปองอีกจำนวนมาก นอกจากนี้มีระเบิดปิงปองที่ไม่ทำงานตกอยู่อีก 1 ลูก สร้างความตระหนกตกใจแก่ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นอย่างมาก
เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของนายนาเซ เจ๊ะระหวัง อายุ 30 ปี เจ้าของร้านน้ำชาแบดีน หน้าปากซอยรามคำแหง 61 ที่รอดชีวิตในค่ำคืนนั้นมาได้ โดยเขาเล่าย้อนถึงเหตุการณ์คืนนั้นว่า ตนและภรรยาเปิดร้านน้ำชาตอนบ่ายโมง แต่ทราบว่ามีเหตุวุ่นวายแถวหน้ารามฯ กระทั่งตอนเย็นก็เห็นวัยรุ่นและนักศึกษามารวมกลุ่มโห่ไล่ตำรวจและการ์ดเสื้อแดงที่อยู่ด้านหน้าการกีฬาแห่งประเทศไทย กระทั่ง 2 ทุ่มกว่าๆ ก็มีเสียงปะทัดยักษ์และเสียงปืนดังขึ้นมาจากแนวการ์ดเสื้อแดงซึ่งอยู่แนวเดียวกับตำรวจทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คนหนึ่งถูกยิงเข้าที่แขนซ้าย อีกคนถูกยิงเข้าหน้าอกซ้ายทะลุหลัง เพื่อนๆ จึงนำมาปฐมพยาบาลข้างร้านตน ตนเห็นว่าคนเจ็บอาการสาหัสมาก หน้าซีดและชักกระตุกและมาทราบตอนหลังว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว
หลังมีคนเจ็บและคนตายก็ได้ยินเสียงปืนมาจากฝั่งเสื้อแดงเป็นระยะ แล้วเงียบไปอีกสักพัก จากนั้นลูกค้าก็มานั่งกินชากาแฟต่อเพราะเนื่องจากคิดว่าเหตุการณ์สงบแล้ว กระทั่ง 4 ทุ่มกว่าก็มีคนร้ายโยนระเบิดมาจากสะพานยกระดับรามคำแหง ระเบิดมาลงที่ด้านหน้าร้านของตน ทำให้ลูกค้าร้านตนบาดเจ็บ 1 ราย จากนั้นก็มีรถทัวร์คันที่ถูกเผาขับเข้ามาที่แนวการ์ดคนเสื้อแดงและตำรวจ ก่อนที่คนในรถทัวร์และข้างรถทัวร์จะระดมยิงปืนชุดใหญ่เข้าใส่ซอยรามคำแหง 61 อย่างคุ้มคลั่ง ตนกับภรรยา พี่สาว น้องสาว และน้องชายรวมถึงลูกค้าที่เหลืออยู่กว่า 10 คน ต้องหมอบกับพื้นในร้าน เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งน้องชายที่เคยเป็นทหารบอกว่าน่าจะมีอาวุธสงครามรวมอยู่ด้วย
ส่วนการคุกคามชาวบ้านของคนเสื้อแดงตั้งแต่เริ่มชุมนุมนั้น นายนาเซเล่าว่า พวกเสื้อแดงจะใช้เด็กแว้นซิ่งรถกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 50 คัน ขับตามหาคนที่แขวนนกหวีดและผูกข้อมือธงชาติไทย เมื่อเจอแล้วจะรุมซ้อม ซึ่งลูกชายเจ้าของร้านข้าวหมก และลูกชายช่างตัดเย็บเสื้อผ้าก็ถูกลากไปรุมซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ
นายนาเซเล่าด้วยว่า ตอนนั้นภรรยาและน้องสาวตกใจมาก พวกเราได้แต่คิดในใจขอให้ตำรวจมาช่วย แต่ก็หมดหวังเพราะมันยิงมาจากแนวเดียวกับตำรวจ แถมตำรวจก็ไม่คิดห้ามปรามเหมือนเปิดทางให้พวกเดียวกัน นอกจากนี้ ระหว่างที่พวกมันยิงก็มีรถสายตรวจมาจอดที่หน้าปากซอยสักพัก ทำให้มันหยุดยิง แต่ตำรวจในรถก็ไม่ยอมลงมา แล้วรีบขับรถออกไป ทำให้พวกมันได้ใจยิงใส่เข้ามาอีกหลายนัด
“เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตเหมือนเข้าไปอยู่ในดงสงครามยังไงยังงั้น พวกมันยิงใส่กะว่าจะให้ตายซึ่งดูได้จากรอยกระสุนที่อยู่ระดับหน้าอกและศีรษะ อยากถามพวกมันกลับไปว่า เห็นประชาชนเหมือนกับผักปลา เหมือนของเล่นอย่างนั้นหรือ พวกเราไม่ได้ไปทำอะไรให้มันเจ็บช้ำมาก่อนเลย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ผมอยากให้หาคนรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย” เจ้าของร้านน้ำชากล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายมะหมูด เจ๊ะแหละหมัน วัย 30 ปี พ่อค้าลูกชิ้น ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ถูกยิงถล่มในซอยรามคำแหง 61 ย้อนเหตุการณ์เฉียดตายว่า เย็นวันนั้นตนขับรถกระบะจะไปขายของที่ตลาดรถไฟ ศรีนครินทร์ แต่ลืมของไว้ที่ห้องพัก จึงขับกลับมาบนสะพานยกระดับรามคำแหง เห็นรถตู้ตำรวจจอดอยู่บนนั้น 2 คัน มีตำรวจยืนอยู่ 3 นาย เมื่อขับรถลงมาข้างล่างพบว่าถนนถูกปิดหมด ตนจึงเข้าเข้าซอยเทพลีลาแล้วเข้ามาที่ห้องพักซึ่งอยู่ในซอยรามคำแหง 63 สักพักเพื่อมาบอกว่ามีผู้ชุมนุมต่อต้านเสื้อแดงถูกยิงตายที่ปากซอยรามคำแหง 61 จึงเดินไปดูกับเพื่อน ก็เห็นผู้ชุมนุมที่เป็นวัยรุ่นจับกลุ่มกัน ระหว่างที่เดินอยู่หน้าปากซอยรามคำแหง 57 ปรากฏว่าคนร้ายได้โยนระเบิดปิงปองมาจากสะพานยกระดับรามคำแหงจึงวิ่งหนีกลับเข้าห้องพัก
นายมะหมูดเล่าถึงนาทีระทึกใจต่อว่า กระทั่ง 4 ทุ่มกว่าคิดว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงออกมาซื้อข้าวกับเพื่อนในซอยรามคำแหง 61 ระหว่างที่ยืนรอข้าวอยู่นั้นก็มีคนร้ายโยนระเบิดเข้ามาในซอย ถูกชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากนั้นรถทัวร์คันที่ถูกเผาก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่แนวการ์ดเสื้อแดงและตำรวจ จากนั้นพวกที่อยู่ในรถทัวร์และข้างรถก็ระดมยิงใส่ไม่ยั้ง ตนและชาวบ้านในซอยกว่า 50 ชีวิต ต้องวิ่งหาที่หลบคมกระสุนกัน อลหม่าน โดยตนไปแอบอยู่หลังรถตู้ ก่อนเข้าไปหลบในห้องน้ำกับอีกหลายชีวิต ซึ่งมีหญิงสาวหน้าตาตื่นตกใจกลัวสุดขีดรวมอยู่ด้วย ระหว่างนั้นชาวบ้านที่อยู่บนคอนโดหัวหมาก สั่งให้พวกเรานั่งนิ่งๆ ในห้องน้ำและให้ปิดไฟ เพราะมันยังระดมยิงเข้าใส่ตลอดเวลา ผ่านไปเกือบ 20 นาที พอเสียงปืนเริ่มซาลงชาวบ้านก็นำบันไดให้เราปีนรั้วออกมาทำให้หนีรอดมาได้
“ผมกลัวมาก คืนนั้นเหมือนบ้านเมืองเราไม่มีกฎหมาย เพราะคนร้ายเอาปืนมาไล่ยิงคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยที่ตำรวจผู้รักษากฎหมายก็เหมือนเปิดทางให้โจรไล่ยิงคน อย่างไรก็ตาม อยากถามว่าทำไมต้องไล่ฆ่ากันอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อะไรเลย ทั้งนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งสืบสวนหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด” นายมะหมูดกล่าวด้วยสีหน้าที่ยังตื่นตระหนก
เหตุการณ์ไล่ฆ่าที่หน้ารามฯ ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว แต่ความหวาดกลัวยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ผ่านวินาทีความเป็นความตายมาได้ และเสียงถามหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลเพื่อไทยที่มาปราศรัยยั่วยุเสื้อแดงให้ก่อเหตุร้าย และตำรวจที่รู้เห็นการไล่ฆ่า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ กกท.ผู้ที่อนุญาตให้เสื้อแดงมาซ่องสุมกำลังไล่ฆ่าคน
...หวังว่าคำตอบนั้นคงไม่หายไปกับสายลม!!