มือปืนเปิดปากรับ “ทนายอีส” จ้างฆ่า “เอ็กซ์-จักรกฤษณ์” 1 แสนบาท เผยเกาะติดผู้ตายก่อนลงมือกว่า 10 วัน พ่อชมตร.ไทย พร้อมปัดตอบไม่รู้ตัวบงการ เชื่อใครทำอะไรไว้ดาบนั้นย่อมคืนสนอง "บิ๊กแจ๊ด"ตั้งค่าหัว1แสนล่าผู้ต้องหาที่เหลือ
เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (9 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ผบก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.3 บก.สส.บช.น.ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่993/2556 ลงวันที่8 พ.ย.56 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ โดยจับกุมตัวได้ที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จากกรณีมีคนร้าย 2 คน ซ้อนท้ายรถจยย.ก่อนใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม.ประกบยิงนายจักรกฤษณ์ หรือ เอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย จนเสียชีวิต ขณะขับรถเก๋งปอร์เช่ สีดำ ทะเบียน ชส 2223 กรุงเทพมหานคร ออกจากหมู่บ้านบัวขาว ถนนรามคำแหง ซอย 174 ก่อนที่คนร้ายจะขับรถจยย.พากันหลบหนีไป เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.ประยนต์ กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุนายจิระศักดิ์คนร้ายรายนี้นั่งซ้อน ท้าย รถจยย.ฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีชมพู-ดำ ของ นายธวัชชัย เข้าไปวนใน ซอยหมู่บ้านบัวขาวหลายครั้งเพื่ิอหาตัวนายจักรกฤษณ์แต่ไม่พบ เนื่องจากไม่รู้ว่า เป็นใคร ทราบเพียงแต่ทะเบียนรถปอร์เช่คือ 2223 เท่านั้น กระทั่งผู้ต้องหาทั้งคู่ขับรถสวนกับรถนายจักรกฤษณ์กลางซอยรามคำแหง 174 จึงวกรถตามไปประกบจนถึงทางลงสะพานยกระดับแยกลาดบัวขาว ก่อนที่นายจิระศักดิ์จะชักอาวุธปืนขนาด9 มม.ออกมายิงใส่นายจักรกฤษณ์ 5 นัด แล้วพา กันขับจยย.หลบหนีไปในซอยมิสทีน ใช้เส้นทางลัดถนนกรุงเทพกรีฑาเพื่อมุ่งหน้าไปที่ซอยรามคำแหง 65 โดยภายหลังก่อเหตุก็ได้แยกย้ายหลบหนีไปกบดานที่ต่างจังหวัดจนตำรวจตามไปจับกุมตัวนายจิระศักดิ์ได้คนแรกที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
นายจิระศักดิ์ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นชาว จ.สุราษฎร์ธานี ยิงปืนเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ที่ผ่านมาเคยถูกจับกุมข้อหาลักทรัพย์แถวบ้าน เกิด ก่อนไปเปิดกิจการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จ.ชลบุรี ส่วนคดีนี้ตนได้รับการติดต่อจาก นายสันติ หรือทนายอีส ทองเสม อายุ28ปี ซึ่งเป็นเพื่อนกันในวงเหล้า ด้วยราคาค่าจ้าง 100,000 บาท โดยนายสันติเป็นผู้จัดหาอาวุธปืนให้ไปยิงเป้าหมายคนขับรถปอร์เช่ ทะเบียน 2223 ซึ่ง ทีแรกตนก็ไม่ทราบว่าเป็นนายจักรกฤษณ์ ทั้งนี้ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของนายจักรกฤษณ์ เป็นเวลานานกว่า 10 วัน บริเวณ ซ.รามคำแห่ง174 ก่อนขับรถสวนกันและตามไปปะกบยิง ซึ่งจังหวะที่ลั่นไกออกไป 5 นัด ปืนก็เกิดขัดลำยิงไม่ออกอีกเลยจนต้องพากันเร่งเครื่องหลบหนีออกมา สำหรับนายธวัชชัย คนขับขี่และเป็นเจ้าของรถจยย.ก็ได้ค่าจ้าง 100,000 บาท เท่ากัน หลังเสร็จงานมีการนัดหมายให้ตนและนายธวัชชัยไปรับเงินสดมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนายสันติก็ยึดอาวุธปืนคืนจากตนไปแล้วด้วย
ด้านพล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีใช้เวลากว่า 20 วัน จนสืบทราบว่า มือปืนผู้ก่อเหตุรายนี้คือ นายจิระศักดิ์ ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีก่อเหตุยิงนายจักรกฤษณ์ ซึ่งผู้ต้องหาที่เหลือตำรวจได้ออกหมายจับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีด้วยกัน 2 คนคือ นายสันติหรือทนาย อีส ทองเสม อายุ28 ปี คนจัดหามือปืนตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 995/2556 ลงวันที่ 8 พ.ย.56 และ นายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติอายุ 33 ปี คนขับขี่จยย.ให้ มือปืนซ้อนท้ายตามหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรีที่ 994/2556 ลงวันที่ 8 พ.ย.56 โดย 2 คนนี้ถูกแจ้งข้อหาเดียวกันคือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ทั้งนี้ตนได้ตั้งรางวัลนำจับให้แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคู่นี้ได้หัวละ 100,000 บาท อีกทั้งขอยืนยันว่าจะยังมีการออกหมายจับต่อไปอีกจนถึงผู้บงการแน่นอน จากนี้ไม่แน่พรุ่งนี้ก็อาจมีการแถลงข่าวดีอีกตอน 11 โมง
ต่อมา นายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดา ของนายจักรกฤษณ์ เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยนายมานพกล่าวว่า ตำรวจให้ตนมาดูหน้ามือปืนยิงลูกชาย ทั้งนี้ตนขอชื่นชมตำรวจไทยที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะพล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ผบก.สส.บช.น. และขอรับรองว่างานนี้สาวได้ทั้งยวงแน่นอน อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวแล้วตนไม่รู้จักทั้งมือปืนและทนายอีสคนจัดหามือปืนมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่สิ่งที่มีความหมายไปมากกว่านั้นคือใครทำอะไรไว้ดาบนั้นย่อมคืนสนอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าพญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม ภรรยานายจักรกฤษณ์เป็นผู้บงการ นายมานพก็ตอบว่า ไม่รู้แต่ขอให้คนที่ทำได้รับผลกรรมอย่างสาสม ตนกลืนทั้งเลือดและน้ำตามานานเกือบ1 เดือนแล้ว ใครไม่เสียลูกไปไม่รู้หรอก แต่พอรู้ว่าคดีนี้จะสิ้นสุดได้ทั้งภรรยา และ ลูกสาว ก็ดีใจยกใหญ่ ตั้งแต่เอ็กซ์ตายไปก็ไม่ได้คุยกับหมอนิ่มอีกเลย เจอกันครั้งสุดท้ายก็ที่งานศพ ทางฝ่ายเขาเองก็ไม่ติดต่อมาส่วนตนก็ไม่กล้าไปหาหลานเพราะกลัวตายเหมือนกัน