xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์แก้ยกฟ้อง “เสี่ยขาว” ไม่ประมาทไฟไหม้ซานติก้าผับ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ “เสี่ยขาว” ผู้บริหารซานติก้าผับ ไม่เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต แต่ให้คงจำคุกเจ้าของ บ.ทำเอฟเฟกต์ 3 ปี


เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (22 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณา 602 ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีเผาซานติก้าผับ ที่อัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 และญาติผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวม 57 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือ เสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการ นายพงษ์เทพ จินดา ผจก.ฝ่ายบันเทิง นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผจก.ฝ่ายการตลาด นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟ บริษัท โพกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์

เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ผู้อื่นทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น ผู้ใดกระทำ การประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 225, 291, 300, 390 และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 16/1, 16/3.27 และ 28/1 ฐานเป็นผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการปล่อยปละละเลยให้บุคคลซึ่งอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปในสถานบริการ และปล่อยปละละเลยให้มีการกระ ทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการมาตรา 291

โดยโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค. 2552 จำเลยได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จัดให้มีงานรื่นเริงให้บริการจำหน่ายอาหารสุรา เครื่องดื่ม การแสดงดนตรีรวมทั้งการแสดง แสง สี เสียง ในโอกาสฉลองเทศกาลวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย ซึ่งภายในตัวอาคารไม่มีแบบแปลนแผนผังอาคารติดตั้งแสดงไว้ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ และไม่ได้ติดตั้งไฟฉุกเฉินให้มีจำนวนเพียงพอที่จะสามารถเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้าเพื่อการหลบหนีออกจากตัวอาคารได้สะดวกและปลอดภัย

อีกทั้งอาคารมีพื้นที่ให้บริการลูกค้าที่สามารถจุคนได้ไม่เกินจำนวน 500 คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คน โดยจำเลยที่ 5 ได้จุดพลุไฟที่บริเวณหน้าเวทีซึ่งมีความสูงประมาณ 5 เมตร จนเกิดลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่บริเวณเพดานเวทีและภายในตัวอาคารเป็นเหตุให้ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการในอาคารถึงแก่ความตาย 67 คน บาดเจ็บสาหัส 32 คน บาดเจ็บอีก 71 คน

ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธอ้างว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์บราเธอร์ส (2003) จำกัด ซึ่งบริหารร้านซานติก้าผับ ส่วนจำเลยที่ 6 และ 7 ต่อสู้คดีว่าเพลิงที่ลุกไหม้ไม่ได้เกิดจากเอฟเฟกต์

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2554 เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1, 6 และ 7 เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 อันเป็นบทหนักสุดให้จำคุกนายวิสุข หรือ เสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำกัด จำเลยที่ 1 และ นายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ จำเลยที่ 7 คนละ 3 ปี และปรับเงิน บริษัท โพกัสไลท์ ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ จำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท

แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะให้เงินช่วยเหลือทายาทผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บแล้วเป็นเงิน 3,394,800 บาท แต่การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะ ผู้บริหารสถานบริการซึ่งเป็นอาคารสาธารณะที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานบริการจะต้องมีระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย เพื่อให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย แต่จำเลยที่ 1 กลับไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และให้จำเลยที่ 6-7 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-6 เป็นเงินรายละ 1,540,000 บาท พร้อมทั้งให้โจทก์ร่วมที่ 7-8 เป็นเงินรายละ 2,040,000 บาท รวม ทั้งสิ้น 8,700,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-5 ให้ยกฟ้อง

ต่อมาจำเลยที่ 1, 6-7 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง และโจทก์ยื่นอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่ 5

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำประมาท แต่เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่าไม่ใช่ผู้ที่กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เหตุเพลิงไหม้ ลำพังที่จะฟังว่าให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในสถานบันเทิงเกิน 500 คนก็ฟังไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยที่ 1 จะมีพฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังของอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และติดไฟฉุกเฉินให้เพียงพอที่เป็นข้อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดนั้นสืบเนื่องจากการจุดเอฟเฟกต์ด้วยไฟฟ้าที่หน้าเวทีที่จำเลยที่ 6-7 ดูแล โดยในชั้นนำสืบมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลุและดอกไม้เพลิง เบิกความประกอบว่าพลุและดอกไม้เพลิงเป็นวัสดุต่างชนิดกัน ซึ่งดอกไม้เพลิงจะมีความร้อนสูงถึง 300 องศาเซลเซียล และต้องจุดในที่โล่งแจ้ง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อมีการจุดเอฟเฟกต์แล้วประกายได้พุ่งขึ้นสู่เพดานจนเกิดเพลิงไหม้ โดยเริ่มตั้งแต่ด้านขวามือของเวที พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 6-7 กระทำประมาท ส่วนนักร้องนำวงเบิร์น จำเลยที่ 5 ในชั้นนำสืบมีหลักฐานเป็นแผ่นดีวีดีบันทึกภาพที่ได้จากกล้องวีดีโอของพนักงานบริษัทที่ได้บันทึกการแสดงโชว์บนเวทีก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไม่ได้มีการตัดต่อภาพ และไม่ปรากฏภาพว่าจำเลยที่ 5 ได้ถือกระบอกพลุและจุดตามคำเบิกความของพยานโจทก์บางปาก นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าภายในอาคารมีแสงไฟสลัว ค่อนข้างมืด ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนเบียดเสียดกัน จึงเป็นไปได้ที่พยานจะเห็นภาพในมุมที่ต่างกัน และอาจจะเข้าใจผิดได้ ซึ่งภาพที่ปรากฎในแผ่นดีวีดี พบเพียงแค่ จำเลยที่ 5 ยืนถือไมค์เพียงมือเดียว ไม่ได้ก้มๆ เงยๆ ตามคำเบิกความของพยาน ซึ่งหากจะถือกระบอกพลุด้วยก็ต้องถือ 2 มือ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความขัดแย้งกัน

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ทุกข้อหา และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 โดยให้จำคุกจำเลยที่ 7 เป็นเวลา 3 ปี และปรับเงิน บริษัท โพกัสไลท์ฯ ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับปรัีบจำเลยที่ 6 จำนวน 20,000 บาท พร้อมให้จำเลยที่ 6-7 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 4-8 เป็นจำนวนเงิน 8.7 ล้านบาท

ภายหลังทนายความของนายบุญชู จำเลยที่ 7 ได้เตรียมยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 5 แสนบาทเพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ต่อมาศาลได้พิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัว โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท ขณะที่นายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ซึ่งสวมแว่นดำ ได้เดินทางกลับพร้อมผู้ติดตามทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ซึ่งระหว่างอยู่ในห้องพิจารณาคดี เสี่ยขาวได้พูดคุยและจับมือแสดงความยินดีกับทนายความ ส่วนกลุ่มญาติผู้เสียหายที่วันนี้เดินทางมาฟังคำพิพากษาประมาณ 50 คน ก็ได้จับกลุ่มพูดคุยกัน

ด้าน น.ส.มาลี ถนอมปัญญารักษ์ ญาติผู้เสียหาย กล่าวหลังศาลยกฟ้องนายวิสุขว่า จากการพูดคุยญาติผู้เสียหายทุกคนแล้วต่างยืนยันจะยื่นฎีกาถึงที่สุด เพราะต้องการให้ผู้บริหารซานติกาผับร่วมรับผิดชอบกับบริษัทที่ติดตั้งเอฟเฟกต์ด้วย เพราะหากเจ้าของผับไม่จ้างบริษัททำเอฟเฟกต์ มาติดตั้งพลุ ก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถ้าจะให้บริษัทเอฟเฟกต์อย่างเดียวรับผิดชอบคงไม่ใช่ ซึ่งคำพิพากษาของศาลพลิกหน้ามือเป็นหลังมือที่ยกฟ้องทุกข้อหา แม้แต่เรื่อง พ.ร.บ.ควบคุมอาคารก็ยังไม่มีความผิด ส่วนค่าสินไหมทดแทน 8.7 ล้านบาทก็จะยื่นฎีกาต่อด้วย เพราะเห็นว่าน้อยเกินไปต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น

คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนส่งท้ายปีเก่าต้องรับปีใหม่ 2552 ได้เกิดเหตุไฟไหม้สถานบันเทิงไฮโซ SANTIKA Pub & Restaurant หรือที่รู้จักกันในหมู่คนกลางคืนว่า “ซานติก้า ผับ” ตั้งอยู่เลขที่ 235/11 ซอยสุขุมวิท 63 เอกมัย ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

โดยในคืนเกิดเหตุเพลิงได้โหมลุกไหม้ “ซานติก้า ผับ” อย่างหนักและสะเก็ดไฟยังตกลงมาสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ทำให้นักเที่ยวถูกไฟลวกตามร่างกายจำนวนมาก นักเที่ยวที่อยู่ด้านในประมาณ 1,000 คน ต่างวิ่งหนีตายกันออกมาด้านนอกอย่างอลหม่าน แต่ยังมีบางส่วนไม่สามารถหนีเปลวเพลิงออกมาได้ ถูกไฟคลอกและขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ที่พยายามช่วยอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากเพลิงที่โหมลุกไหม้อย่างหนัก ประกอบกับอาคารที่ถูกความร้อนอย่างหนักจนเกิดการทรุดตัว ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น จนผู้ที่ติดอยู่ด้านในที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ถูกไฟคลอกตายอยู่ด้านหน้าทางออก

แม้ประตูทางออก “ซานติก้า ผับ” มีถึง 5 ประตู แต่นักเที่ยวบางส่วนไม่ทราบและพยายามแย่งกันออกทางประตูด้านหน้า จึงทำให้เหยียบกันตายอยู่ด้านหน้าประตูทางออก ส่วนผู้บาดเจ็บที่หนีตายออกมาได้ก่อน นั้นส่วนใหญ่จะถูกไฟลวกตามร่างกาย และถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ในละแวกใกล้เคียงอีกจำนวนมาก จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตถึง 64 ศพ

กำลังโหลดความคิดเห็น