ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษ จำคุก จอยซ์ ทีเค อดีตนักร้องสาวค้ายาบ้า 4,000 กว่าเม็ด เป็น 8 ปี 1 เดือน ปรับ 3.4 แสนบาท ชี้พยานหลักฐานฟังขึ้นบางส่วน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นเหมาะสมแล้ว
ที่ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (8 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ ย.476/2548 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.พรพรรณ รัตนเมธานนท์ หรือ จ๊อยซ์ ทีเค อายุ 32 ปี อดีตนักร้องสาววง “ไทร์อัมพ์ คิงส์ด้อม” ค่ายเบเกอรี่มิวสิค, นายจิตพัฒน์ หรือโต้ง สังฆสุวรรณ แฟนหนุ่ม อายุ 33 ปี และนายนิมิตร เป็งศิริ อายุ 35 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม พรบ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 , 7 , 8 , 15, 66 และ 102
โดยอัยการยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 สรุปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายจำนวน 4,040 เม็ด น้ำหนัก 364.040 กรัม ซึ่งก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปราบปรามยาเสพติด บก.น.2 จับกุมผู้ค้ายาเสพติด 3 คนได้ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ภายในปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ถ.พหลโยธิน และที่ลานจอดรถชั้นสอง อาคารทีวีซี คอนโดมิเนียม ถ.ประชาสงเคราะห์ แขวงและเขตสายไหม และจากการสอบสวนขยายผล ผู้ต้องหารับว่ารับยาบ้ามาจากจำเลยที่ 1 และ 2 จึงวางแผนล่อซื้อยาบ้าจำนวน 300 เม็ด เมื่อจำเลยทั้งสองนำยาบ้ามาส่งที่ ซอยยิ้มประกอบ 4 ถ.งามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี จึงจับกุมดำเนินคดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นที่บ้านของจำเลยที่ 2 พบยาบ้าอีก 3,740 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งจำเลยที่ 1 และ 2ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดีในชั้นศาล ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกจับกุมภายหลัง และให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2548 ให้จำคุก น.ส.พรพรรณ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 12 ปี ปรับ 510,000 บาท และจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 2 ปรับ 1.2 ล้านบาท คำให้การของจำเลย เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี ปรับ 340,000 บาท และให้บวกโทษขับรถขณะเมาสุรา จำคุก 1เดือนของศาลแขวงพระโขนง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 8 ปี 1 เดือน และปรับ 340,000 บาท ส่วนนายจิตพัฒน์ จำเลยที่ 2 จำคุก 33 ปี 4 เดือน ปรับ 800,000 บาท และจำเลยที่ 3 นายนิมิตร ให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ ขณะที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 6 ก.ค.50 แก้ให้เพิ่มโทษให้ น.ส พรพรรณจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 33 ปี 5 เดือน ปรับ 800,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน ปรับ 800,000 บาท และยกฟ้องจำเลยที่ 3 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา ต่อมาจำเลยที่1และ 2 ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาบ้าที่ที่มีการขยายผลไปค้นบ้านจำเลยที่ 2 จำนวน 3,740 เม็ด ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อล่อซื้อยาจากจำเลยที่ 1-2 ที่ส่งยาบริเวณหน้าบ้านของจำเลยที่ 2 จำนวน 300 เม็ดแล้วจึงมีการขยายผลไปสู่การตรวจค้นที่บ้านพักของจำเลยที่ 2 พบว่ามียาบ้าจำนวน 140 เม็ด พร้อมอุปกรณ์การเสพวางอยู่กลางห้อง ส่วนยาบ้าจำนวน 3,600 เม็ดนั้นพบซุกซ่อนอยู่บริเวณบาร์เหล้า ใต้โซฟา และลิ้นชักในห้องนอน ซึ่งไม่ได้เป็นที่เปิดเผย และจากการสืบพยานไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่ชี้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นในยาบ้าจำนวน 3,600 เม็ดด้วยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 ว่าครอบครองยาจำนวน 3,600 เม็ด
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาให้ลงโทษสถานเบาเห็นว่าเมื่อยาที่อยู่ในครอบครองมีจำนวนมาก ถึง 440 เม็ด การที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษและลดโทษให้ 1 ใน 3 จำคุก 8 ปี 1เดือน ปรับ 340,000 บาท ถือเป็นคุณกับจำเลยอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุลดโทษให้น้อยกว่าที่กำหนดไว้
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่มิชอบโดยในการจับกุมไม่ได้มีการถ่ายรูปตอนการตรวจค้น และ ถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ให้รับสารภาพโดยบังคับให้ลงรายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความนั้น เห็นว่า การตรวจค้นบ้านจำเลยที่2ของเจ้าหน้าที่ได้กระทำต่อเนื่องหลังจากที่จำเลยที่ 1 และ 2 ได้ส่งมอบยา 300 เม็ด จากการล่อซื้อผ่านเพื่อของจำเลยที่ได้ถูกจับกุมก่อนหน้าที่เป็นการจับกุมซึ่งหน้าและ จำเลยที่ 2 ก็ได้พาชี้จุดที่ได้เก็บยาบ้าไว้ภายในบ้าน ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ภายในบ้านแล้ว ศาลเห็นว่าหากจะมีการยัดยาก็สามารถที่จะทำได้ขณะอยู่ที่หน้าบ้านแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องลำบาก เข้าไปในบ้านให้ยุ่งยากส่วนที่กล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่มีการข่มขู่และให้ลงชื่อในบันทึกการจับกุมนั้นเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ส่วนที่อ้างว่าการจับกุมไม่เป็นไปตามขั้นเนื่องจากไม่ได้มีการถ่ายรูปขณะตรวจค้นนั้น เห็นว่าตำรวจที่เข้าตรวจค้นมีจำนวนหลายคนและเข้าตรวจค้นต่อหน้าตัวจำเลยมีการบ่งหน้าที่ กันทำและเป็นการตรวจค้นต่อเนื่องจึงถือเป็นกรณีเร่งด่วน ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษาแก้เป็นว่าหากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับเป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29และ 30 โดยให้บังคับโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ภายหลังฟังคำพิพากษาระหว่างที่ น.ส. พรพรรณ จำเลยที่ 1 ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปยังห้องขัง ได้ยิ้มและยกมือไหว้ผู้สื่อข่าว พร้อมกล่าวสั้นเพียงว่า คดีนี้ตนได้จำคุกมาเป็นเวลา 8 ปี 10 เดือนแล้ว ขณะที่วันนี้ มีญาติ น.ส.พรพรรณ เข้ามาร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก รวมถึง น.ส.สุรัตนาวี สุวิพร หรือ โบว์ ไทรอัมพ์คิงด้อม ซึ่งเป็นเพื่อนนักร้องสาวที่เคยออกอัลบั้มคู่กันได้มาฟังคำพิพากษาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ น.ส.พรพรรณ หรือ จอยซ์ ทีเค จำเลยที่ 1 นั้น ถูกจำคุกมาแล้ว 8 ปี 10 เดือน ครบตามคำพิพากษาแล้ว แต่เนื่องจากที่ผ่านมาจำเลยยังไม่ได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา 340,000 บาท ซึ่งหากวันนี้จำเลย ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา ก็จะถูกปล่อยตัวออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง ได้ภายในวันนี้ แต่ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ก็จะถูกส่งตัวไปกักขังจนกว่าครบกำหนด ยังสถานกักขัง จ.ปทุมธานีต่อไป
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ศาลได้ตรวจสอบและคำนวณ หักเงินวันละ 200 บาท แทนการชำระค่าปรับที่ น.ส.พรพรรณ ติดคุกเกินมา 9 เดือนแล้ว พบว่ายังเหลือค่าปรับอีก 282,200 บาท ต่อมา บิดาของ นส.พรพรรณ หรือ จอยซ์ ทีเค ได้นำเงินสด จำนวน 282,200 บาท มายื่นชำระเป็นค่าปรับต่อศาล ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา หากศาลพิจารณาแล้วอนุญาตและมีหมายปล่อยตัวไปให้กรมราชทัณฑ์ น.ส.พรพรรณ หรือ จอยซ์ ทีเค ก็จะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสรภาพจากทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขนต่อไป