จากเหตุการณ์สองคนร้ายนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ลอบยิงนายถนอม บริคุต หรือ เปาหนอม กรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลชื่อดังได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณด้านหน้าตึก 300 เตียง ภายในการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. ในช่วงระหว่างการเดินทางไปทดสอบสมรรถภาพร่างกายผู้ตัดสินที่สนามซ้อม กกท.1เมื่อเวลา 05.45 น.วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา
ที่เกิดเหตุพบนายถนอมมีบาดแผลถูกยิงเข้าที่บริเวณข้างลำตัว 2 นัด และแขน 1 นัด ถูกนำตัวส่งเข้ารับการรักษาที่ รพ.รามคำแหง โดยยังไม่ทราบสาเหตุการถูกลอบยิงที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ตำรวจ สน.หัวหมากได้เดินทางมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุทันทีพร้อมกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อติดตารมหาเบาะแสคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เรียกพล.ต.ต.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบช.น.พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัตน์ รอง ผบช.ภ.1 ช่วยราชการ บช.น. พ.ต.อ.สาโรช ซุ่นทรัพย์ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ พรหมสวัสดิ์ ผกก.สน.หัวหมาก พ.ต.อ.สง่า กรรภิรมย์ ผกก.สส.บก.น.4 พร้อมฝ่ายสืบสวนประชุมติดตามความคืบหน้าคนร้ายก่อเหตุยิงนายถนอม หรือเปาหนอม ทันทีพร้อมสั่งให้มีการจำลองเหตุการณ์ช่วงเวลาการเกิดเหตุจริงขึ้นที่เกิดเหตุ
ล่าสุดตำรวจตั้งประเด็นในการก่อเหตุของคนร้ายไว้ 3 ประเด็นคือ 1. คดีระเบิดที่ จ.สระบุรี เมื่อปี 2552 ซึ่งศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 2. เรื่องการทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินฟุตบอล 3. เรื่องชู้สาว การพนัน และหนี้สิน ยังไม่ทิ้งไปทุกประเด็น
พ.ต.ท.โกเมน สุภาพ พนักงานสืบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก กล่าวว่า คนร้ายที่ก่อเหตุมาด้วยกัน 2 คน สวมหมวกกันน็อกปกปิดใบหน้า ใช้จักรยานยนต์ รุ่นซีบีอาร์ เป็นพาหนะ และตั้งใจใช้ปืนยิงใส่นายถนอมทั้งหมด 4 นัด แต่กระสุนถูกนายถนอมเพียง 2 นัด บริเวณข้อศอกขวาและด้านข้างลำตัวด้านขวา จนได้รับบาดเจ็บ เป็นกระสุนปืนขนาด .38 โดยล่าสุดแพทย์ผู้ตรวจรักษาระบุว่า นายถนอมพ้นขีดอันตรายแล้วมีเพียงช่องปอดที่มีเลือดออกเล็กน้อย และโชคดีที่ไม่มีลูกกระสุนฝังอยู่ในร่างกายจึงไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ต้องพักรักษาตัวโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์และพักฟื้นร่างกาย 1 เดือนถึงจะกลับมาเริ่มวิ่งตัดสินเกมฟุตบอลได้ปกติ
"คดีนั้นผมเป็นคนจับนายถนอมเองเมื่อปี 2552 และคิดว่าทำสำนวนคดีแน่นหนาแล้ว แต่ก็มาทราบอีกครั้งว่านายถนอมถูกยิงและไม่รู้ว่าหลุดคดีนั้นมาได้อย่างไร" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุ
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นรปภ. ระบุว่า ตอนเกิดเหตุคนร้ายเข้ามายิง นายถนอมได้วิ่งหนีและมีการชักปืนเพื่อจะต่อสู้ด้วย ดังนั้น ย่อมหมายถึงนายถนอมย่อมรู้สาเหตุว่าจะมีคนปองร้าย จึงเตรียมระวังพร้อมพกอาวุธไว้ด้วย ซึ่งจะสอบปากคำต่อไป
"จากการสอบถามคนในวงการฟุตบอล ก็ได้ข้อมูลมาว่านายถนอมเป็นผู้ตัดสินในหลายแมตแข่งขันที่ผลการตัดสินค้านสายตาแฟนบอล รวมถึงอาจจะมีการพัวพันเรื่องพนันฟุตบอลด้วย แต่ทั้งนี้ ให้ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามคดีแล้ว เพราะอย่างไร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นการกระทำที่อุกอาจ ต้องตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้"พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุ
ในส่วนของสาเหตุนั้นมีการคาดการณ์ไว้หลายกรณีเนื่องจากเจ้าตัวถือเป็นคนที่มีประวัติ “ฉาว” คนหนึ่ง เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีวางระเบิดฆ่า นายธรรมนูญ ประทุมมาลย์ ผอ.กองการศึกษาระดับ 9 เทศบาลเมืองสระบุรีเสียชีวิต เมื่อ 4 ปีก่อน รวมถึงอุปนิสัยที่เป็นคนน่าเกรงขาม และธุรกิจส่วนตัวที่คนในวงการพูดเป็นเสียงเดียวว่าเป็นความลับที่คลุมเครืออย่างมาก ตลอดจนเรื่องชู้สาว อาทิเช่น ในวันเกิดเหตุได้มีผู้หญิงไม่ขอเปิดเผยชื่อเดินทางมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลพร้อมอ้างว่าตนเองเป็นแฟนสาวของเปาวัย 40 ปี ทั้งที่เวลานั้นมีนางไพวรรณ์ บริคุต ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายเดินทางด้วยมาเช่นกัน ซึ่งนางไพวรรณ์ มองว่าการลอบยิงครั้งนี้น่าจะมาจากเรื่องในวงการฟุตบอล และเตรียมคุยให้เปาถนอมเลิกทำงานเป็นผู้ตัดสินอย่างเด็ดขาด
คดีนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาลงโทษตามกฏหมาย ถึงอย่างไรก็ตามยังมีประเด็นคำถามในสังคมว่าแล้ว “เปาหนอม”หลุดคดีการลอบวางระเบิดสังหารนายธรรมนูญ ประทุมมาลย์ ผอ.กองการศึกษา ระดับ 9 เทศบางเมืองสระบุรีจนเสียชีวิต ที่ถูกพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ สมัยดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร, พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง สมัยดำรงตำแหน่ง ผช.ผบช.ภ.1, จับกุมตามหมายจับของศาล จ.สระบุรี ที่ 1234/2552 ลงวันที่ 6 พ.ย. 2552 ได้อย่างไร
วันนี้ ASTV.ผู้จัดการออนไลน์ได้สืบค้นข้อมูลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 1คดีหมายเลขดำที่ อ.1486/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 2796/2554 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ฟ้อง สิบเอกถนอม บริคุต เป็นจำเลยในความผิดต่อชีวิต ทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวธปืนฯ ความผิดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลจังหวัดสระบุรี ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2553
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2554
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฏหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลากลางวันถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 เวลากลางวันตอ่เนื่องกัน จำเลยมีวัตถุระเบิดแสวงเครื่องและเหล็กลูกปรายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2/8 นิ้ว จำนวน 4 ลูก อันเป็นวัตถุระเบิดในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฏหาย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 เวลากลางวัน จำเลยโดยมีเจตนาฆ่านายธรรมนูญ ปทุมมาลย์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ไร้ประโยชน์ ซึ่งอาคารโรงเรือนสำนักงานของเทศบาลเมืองสระบุรี อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของเทศบาลเมืองสระบุรี โดยจำเลยได้วางแผนนำระเบิดแสวงเครื่องที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวต่อเข้ากับอุปกรณ์รับสัญญาณโทรศัพท์ควบคุมการจุดระเบิดระยะไกลด้วยสัญญาณเคลื่อนที่ไปวางไว้ที่บริเวณห้องทำงานของนายธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในอาคารโรงเรือนสำนักงานของเทศบาลเมืองสระบุรี แล้วจำเลยได้ต่อสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จุดชนวนทำให้ระเบิดดังกล่าวระเบิดขึ้นทำให้นายธรรมนูญได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา และแรงระเบิดทำให้เกิดความเสียหายแก่อาคารโรงเรือนสำนักงานเทศบาลเมืองสระบุรีและทรัพย์สินอื่น ๆ ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 99,000 บาท จำเลยมีลูกระเบิดขว้างควันสีแดง 1 ลูก มีประทัดเอ็น 80 ของประเทศสหรัฐอเมริกา 5 ลูก ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุทั้งหมดเกิดขึ้นที่ ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี เจ้าพนักงานตำวจได้ยึดชิ้นส่วนวัตถุระเบิดรายการที่แจ้งมาตามบัญชีของกลางคดีอาญา (เพิ่มเติม) แผ่นที่ 1 โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ซึ่งเป็นทัพย์ที่จำเลยมีและใช้กระทำความผิด วัสดุแท่งกลมสีไข่ไก่มีสายชนวนหรือประทัด 5 อัน และระเบิดควัน 1 ลูก เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 32,33,91,218(4),221,222,224,/289(4),358 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน,วัตถุระเบิด,ดอกไม้เพลิง และสิ่งเยมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4 (3),34,55,78 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์อ พ.ศ. 2530 มาตรา 4,15,42
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ,43 ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องโทษจำคุกมาก่อนรอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตรวจสำนวนปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่านายธรรมนูญ ปทุมมาลย์ ผู้ตายเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น สังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเทศบาลเมืองสระบุรี ส่วนจำเลยเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น สังกัดเทศบาลเมืองสระบุรี มีตำแหน่งเป็นสันทนาการ 6 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคคับบัญชาของผู้ตาย ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และเรื่องในทำนองชู้สาว ผู้ตายกับจำเลยมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับที่ผู้ตายไม่อนุญาตให้จำเลยไปเป็นกรรมการตัดสินฟุตบอล ผู้ตายทำงานอยู่ที่สำนักงานส่วนการศึกษาเทศบาลเมืองสระบุรีอยู่ที่ชั้น 3 ของตึกหลังตึกเทศบาล เมื่อเดินขึ้นมาที่บริเวณระเบียงหน้าสำนักงานการศึกษาเทศบาลเมืองสระบุรีและหันหน้าเข้าไปทางห้องทำงานจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนห้องด้านซ้ายจะเป็นห้องการเงินกับงานบุคคลห้องติดกับห้องบุคคลมาทางด้านขวาจะเป็นห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ธุรการรวมซึ่งมีหลายหน่วยงานรวมทั้งงานศึกษานิเทศด้วยห้องติดกับห้องธุรการรวมมาทางด้านขวาเป็นห้องของผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาซึ่งเป็นห้องของผู้ตายได้โดยออกจากห้องธุรการใหญ่
หรือห้องการเงินเดินผ่านระเบียงหลังห้องผู้ตายได้ หรือมาทางด้านห้องประชุมมาทางระเบียงหลังห้องได้เช่นกัน แต่ห้องประชุมปกติจะปิดไม่ให้เดินผ่านนอกจากมีการประชุม ที่สำนักงานการศึกษามีการติดกล้องวงจรปิดไว้สองจุดคือ จุดบริเวณประตูทางเข้าออกด้านหน้า (ตามแผนที่ได้แนบมา) และจุดติดตั้งกล้องวงจริปิดติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ภายในห้องทำงานรวมได้ (ตามแผนที่ได้แนบมา)
ห้องผู้ตายนั้นปกติจะล็อก ซึ่งผู้ถือกุญห้องผู้ตายมีผู้ตาย นายสมพงษ์ สุวรรณพัฒน์ และนางศุลลักษณ์ สูงนารถ จำเลยทำงานอยู่ที่ห้องธุรการอยู่ติดกับห้องผู้ตาย เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.09 น. จำเลยเดินเข้าไปในห้องทำงานโดยมีมือขวาหิ้วกระเป๋าโน้ตบุ๊ก มือซ้ายหิ้วถุงพลาสติกสีม่วงมีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีน้ำหนักซึ่งน่าจะเป็นวัตถุระเบิด และจำเลยมานั่งที่โต๊ะทำงานวางกระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้บนโต๊ะส่วนถุงพลาสติกสีม่วงวางไว้ใต้โต๊ะปรากฏตามประมวลภาพ
จากนั้นจำเลยได้หิ้วถุงพลาสติกเดินไปทางห้องนิเทศศึกษาแล้วหลบมุม ต่อมาประมาณ 5 นาที จำเลยกลับมานั่งต่อที่ทำงานไม่ได้ถือถุงพลาสติกสีม่วงกลับมาด้วยตามภาพถ่ายหลักฐานที่แนบมา ภาพที่ 2 ถึงภาพที่ 5 จนเวลาประมาณ 16.00 น จำเลยเดินทางกลับบ้าน ต่อมาวันเดียวกันประมาณ 17.00 น. จำเลยเดินทางมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง และพบกับเพื่อนร่วมงานซึ่งทำงานอยู่สองคน จำเลยได้เดินไปทักทายแล้วจำเลยเดินไปยังห้องนิเทศศึกษาประมาณ 1 นาที และจำเลยได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานตามภาพถ่ายหลักฐานที่แนบมา แผ่นที่ 8
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา 05.04 น.นางสมพงษ์ซึ่งเป็นแม่บ้านพร้อมด้วยหลานชายได้เข้าไปทำความสะอาดห้องเจ้าหน้าที่ธุรการและห้องของผู้ตายปรากฏตามภาพถ่ายหลักฐาน นางสมพงษ์เห็นมีถุงดำห้อยอยู่ที่ริมระเบียงหลังห้องผู้ตายเป็นเวลา 2 วัน แล้วจึงนำมาแกะดูปากฏว่าในถุงดำนั้นมีกล่องเหลี่ยมเป็นพลาสติก 2 กล่อง แต่ละกล่องยาวประมาณ 1 คืบ ความกว้างประมาณ 1 คืบ น้ำหนักวมประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งมีสายไฟฟ้าสีแดง สีดำ สีเขียวติดอยู่ที่มุมกล่องด้วย
นางสมพงษ์เข้าใจว่าเป็นหม้อแบตเตอรี่จึงนำไปไว้ใต้โต๊ะชงกาแฟที่ระเบียงหลังห้องผู้ตาย จากนั้นนางสมพงษ์พร้อมหลานชายจึงปิดประตูกลับบ้าน
ต่อมาเมื่อเวลา 06.47 น.จำเลยเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วเลี้ยวขวาไปบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 1 นาทีจำเลยเดินออกมา จากนั้นจำเลยก็เดินออกไปนั่งในรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างล่าง
ต่อมาเวลา 07.27 น. ผู้ตายขับรถมาจอดบริเวณลานจอดรถแล้วได้ลงลายมือชื่อทำงานและเดินเข้าไปในห้องทำงาน ส่วนจำเลยเดินไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นทำให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและแก่ชีวิตในเวลาต่อมา ทั้งทำให้อาคารสำนักงานเทศบาลเมืองสระบุรี และทรัพย์สินอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจนำวีดีโอที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบเห็นจำเลยเป็นผู้ต้องสงสัยจึงได้เรียกตัวมาสอบปากคำ
จากการสอบปากคำมีข้อพิรุธว่าจำเลยเป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรศัพท์ไปยังโทรศัพท์เครื่องที่ไว้สำหรับบจุดชนวนระเบิดที่แขวนอยู่บริเวณเหล็กดัดระเบียงหลังของผู้ตายให้เกิดการระเบิดขึ้น เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลย ชั้นจับกุมจำเลยให้การปฏิเสธ และตำรวจได้ขอหมายค้นไปตรวจค้นบ้านจำเลยปรากฏว่าพบภาพถ่ายของผู้ตาย ภาพถ่ายของนายปู แตงอ่อน ซึ่งอยู่ในหนังสือในโต๊ะทำงานของจำเลย
และระเบิดควัน 1 ลูก เชื้อปะทุระเบิด 5 อัน แบตเตอรี่ขนาด 12 โวลล์ จำนวน 5 ก้อน และขนาด 9 โวลล์ จำนวน 1 ก้อน พร้อมกับของกลางหลายรายการปรากฏตามบันทึกสิ่งของและเอกสารที่ยึด
ชั้นจับกุม พ.ต.ท.ปรีดา คงจัด ได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและมีและใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ ปรากฏตามบันทึกการจับและเอกสาร
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2552 พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้เข้ามาควบคุมดูแลคดี และเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยได้รับกับ พล.ต.อ.จงรักว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่วางระเบิดและจำเลยได้พา พล.ต.อ.จงรักและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนายไปชี้จุดเกิดเหตุ โดยได้ชี้จุดที่แขวนเบิดคือ บริเวณเหล็กดัดระเบียงห้องผู้ตาย บริเวณที่จำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จุดระเบิดภายในห้องน้ำ และบริเวณจอดรถยนต์ของจำเลยที่จอดรออยู่ซึ่งจำเลยนั่งรออยู่ในรถ เจ้าพนักงานตำรวจได้ถ่ายรูปไว้ปรากฏตามภาพถายหลักฐาน และที่สื่อมวลชนได้ถ่ายรูปไว้และบันทึกวีดีโอไว้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
จำเลยนำสืบว่า ผู้ตายเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย จำเลยมีหน้าที่ดูแลด้านการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองสระบุรีทั้งหมดและยังทำหน้าที่ในการเป็นกรรมการตัดสินฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลแห่งปะเทศไทยและของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลาบ่าย จำเลยมาทำงานโดยถือกระเป๋าโน้ตบุ๊กและถุงพลาสติกสีม่วงมาด้วย ในถุงพลาสติกสีม่วงนั้นใส่กระดาษเอสี่เพื่อนำมาใช้ทำงานและมีขวดน้ำประมาณ 5 ขวด โดยกรอกน้ำมาจากบ้านนำมาแช่ตู้เย็นไว้เพื่อดื่มเนื่องจากที่สำนักงานไม่มีน้ำให้ดื่ม กระดาษเอสี่นั้นจำเลยเก็บไว้ในลิ้นชัก ส่วนขวดน้ำนั้นจำเลยนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น
เมื่อเจ้าพนักงานแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยว่า ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและมีวัตถุระเบิด จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาได้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้เรียกจำเลยไปสอบถามถึงข้อเท็จจริงโดยบอกให้จำเลยรับสารภาพ แต่จำเลยบอกว่าไม่ได้กระทำความผิดจึงให้การปฏิเสธ จากนั้น พล.ต.อ.จงรัก ให้จำเลยพาไปที่ห้องผู้ตาย จำเลยได้พา พล.ต.อ.จงรักไปที่ห้องผู้ตายและได้ชี้จุดที่จอดรถ และชี้ที่โต๊ะทำงานของผู้ตาย และชี้ที่จุดที่เห็นถุงดำห้อยอยู่ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธต่อหน้าทนายความ
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายนำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องจุดระเบิดด้วยสัญญาณโทรศัพท์ไปวางไว้ที่ห้องทำงานของนายธรรมนูญ ปทุมมาลย์ ผู้ตาย เมื่อผู้ตายมาถึงที่ทำงาน คนร้ายจึงจุดระเบิดทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นบ้านพักจำเลยพบระเบิดควัน 1 ลูก และประทัด 5 ลูก ซึ่งยึดเป็นของกลาง ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยคู่ความไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานมีระเบิดและทำให้เกิดระเบิด และฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นขณะจำเลยกระทำความผิด คงมีเพียงบันทึกวีดีโอ จากกล้องวงจรปิดว่าจำเลยถือถุงพลาสติกสีม่วงไปที่ห้องทำงานในวันเกิดเหตุทำให้สงสัยว่าจำเลยจะนำระเบิดซุกซ่อนไปยังที่เกิดเหตุ แต่จำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าในถุงพลาสติกสีม่วงไม่ใช่ระเบิดแต่เป็นกระดาษเอสี่และขวดน้ำดื่ม 5 ขวด ที่กรอกน้ำมาจากบ้านเพื่อนำมาแช่ตู้เย็นไว้ดื่มเนื่องจากที่ทำงานไม่มีน้ำให้ดื่ม
นอกจากนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพยานโจทก์ปากนางสมพงษ์ สุวรรณพัฒน์ ว่าในวันเกิดเหตุ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา 04.45 น.นั้นพยานเห็นถุงดำห้อยอยู่ที่บริเวณเหล็กดัดระเบียงหลังห้องผู้ตายมาเป็นเวลา 2 วันแล้ว
เมื่อนำมาแกะดูเข้าใจว่าเป็นหม้อแบตเตอรี่จึงนำไปวางไว้ใต้โต๊ะกาแฟ และตามการนำสืบโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้ถือถุงพลาสติกสีม่วงมาที่ห้องทำงานในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา 03.09 น. อันเป็นเวลลาก่อนหน้าวันเกิดเหตุไม่ถึง 24 ชั่วโมง และถุงพลาสติกก็เป็นคนละสีกันกับที่นางสมพงษ์พบก่อนเกิดเหตุ
ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยซุกซ่อนระเบิดเข้ามานั้นจึงขัดต่อเหตุผล เพราะหากฟังว่าจำเลยนำระเบิดซุกซ่อนเข้ามาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 ก็ขัดกับคำนางสมพงษ์พยานโจทก์ที่พบวัตถุระเบิดก่อนแล้ว 2 วัน และถุงพลาสติกสีม่วงที่จำเลยถือในกล้องวงจรปิดก็เป็นคนละสีกับถุงดำที่พบระเบิด นอกจากนี้จำเลยได้นำสืบหักล้างข้อกล่าวอ้างได้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีม่วงดังกล่าวเป็นกระดาษเอสี่และขวดน้ำที่จำเลยนำมาใช้ในที่ทำงานเท่านั้น กรณีจึงไม่น่าเชื่อว่าถุงพลาสติกสีม่วงที่จำเลยถือเข้ามานั้นจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่
ส่วนคำพยานโจทก์ปาก พ.ต.ท.วรชาติ แสนคำ ที่เบิกความว่า ภายหลังได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นจึงออกมาดูที่ระเบียงหน้าห้องพักเห็นจำเลยเดินผ่านมาหน้าแฟลตมีท่าทางลุกลี้ลุกลนเดินเลี้ยวซ้ายออกไปทางถนนพหลโยธิน แต่ประตูรั้วปิดจำเลยจึงเดินย้อนกลับมา ซึ่งจำเลยก็นำสืบแก้ข้อกล่าวดังกล่าวว่า จำเลยเดินไปเพื่อรับประทานอาหารเช้า เห็นว่าช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นเวลาเช้า แม้เกิดเหตุระเบิดแล้วจำเลยจะไม่ได้รออยู่ในที่เกิดเหตุหรือเข้าไปช่วยเหลือก็เป็นลักษณะบุคคลิกหรือความสนใจของแต่ละบุคคลซึ่งมีแตกตางกันไป ไม่อาจจะเป็นพิรุธถึงกับว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือหรือรออยู่ในที่เกิดเหตุเป็นผู้กระทำผิดเสมอไป อีกทั้งช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นช่วงเวลาอาหารเช้าซึ่งก็อาจเป็นได้ตามท่จำเลยนำมาหักล้าง ส่วนข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่จำเลยให้การรับสารภาพต่อหน้า พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุนำระเบิดไปแขวนไว้ที่เหล็กดัดกลังห้องผู้ตาย เนื่องจากโกรธแค้นผู้ตายที่ขัดขวางการออกไปทำหน้าที่กรรมการตัดสินฟุตบอลนั้น ก็มีข้อพิรุธหลายประการเป็นต้นว่า ทำไมจำเลยต้องยอมรับสารภาพเฉพาะขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก มาตรวจควบคุมดูแลคดีเท่านั้น ทั้งที่จำเลยก็ให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ชั้นจับกุมก่อนหน้านั้น และเมื่อ พล.ต.อ.จงรัก กลับไปแล้ว ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ร้ายกระทำความผิดเช่นเดิม
โดยข้อกล่าวหานี้จำเลยก็นำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยไปชี้ที่เกิดเหตุในฐานะพยานคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่รับสารภาพว่าเป็นผู้ร้ายกระทำความผิด อีกทั้งหากจำเลยให้การรับสารภาพจริงก็น่าจะต้องมีการทำบันทึกให้จำเลยลงชื่อรับสารภาพไว้เป็นหลักฐานก่อนที่จะนำจำเลยออกไปชี้ที่เกิดเหตุให้สื่อมวลชนถ่ายรูป จึงเป็นพิรุธว่าจำเลยให้การรับสารภาพจริงหรือไม่ และเมื่อพิจารณามูลเหตุจูงใจการฆ่าที่โจทก์อ้างว่าเป็นเพราะผู้ตายขัดขวางไม่ให้จำเลยไปเป็นกรรมการตัดสินฟุตบอล นั้นก็เป็นเหตุผลเลื่อนลอยและมูลเหตุเล็กน้อยไม่น่าจะเป็นเหตุผลถึงขั้นหมายเอาชีวิตกัน
นอกจากนี้ข้อกล่าวหาที่ว่า เหตุคดีนี้คนร้ายใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในการจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง แต่โจทก์ก็ไม่ไดนำสืบว่าโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นโทรศัพท์เครื่องใด โทรจากที่ใด หมายเลขอะไร ซึ่งหากจำเลยให้การรับสารภาพจริงก็น่าจะสืบสวนสอบสวนได้ไม่ยาก แต่โจทก์ก็ขาดพยานหลักฐานส่วนนี้เช่นกัน ทั้งปรากฏตามทางนำสืบโจทก์เองว่าได้มีการจัดเก็บลายนิ้วมือของจำเลย ผลการตรวจพิสูจน์ไม่ใช่ลายนิ้วมือของจำเลย จึงเจอสมกับข้อต่อสู้ของจำเลยว่า จำเลยไม่ใช่ผุ้ร้ายที่กระทำผิดคดีนี้ พยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยมาจึงยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามอุทธรณ์ของโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในขอ้หาตามอุทธรณ์ของโจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า สมควรรอการลงโทษในการจำคุกในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์หรือไม่ เห็นว่าของกลางที่ยึดได้จากจำเลยเป็นเพียงระเบิดควัน 1 ลูก และประทัด 5 ลูก โดยไม่ปรากฏเหตุว่าจำเลยจะนำไปใช้ในการกระทำผิดอื่นใด แต่กลับได้ความตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะนำไปใช้ในพิธีเปิดกีฬาที่จำเลยรับผิดชอบ พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยมานั้น เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน.
ประวัตินายถนอม บริคุต หรือ เปาหนอม
นายถนอม บริคุต หรือเปาหนอม เคยรับราชการทหารยศสิบเอก สังกัดหน่วยรบพิเศษที่ 1 จ.ลพบุรี ก่อนลาออกจากทหารและโอนย้ายราชการมาเป็นครูที่โรงเรียนเทศบาล 5 วัดดาวเรือง เทศบาลเมืองสระบุรี ช่วงรับราชการทหารมีโอกาสได้เป็นผู้ตัดสินในสนามฟุตบอล โดยเข้ามาเป็นกรรมการผู้ตัดสินรุ่นที่ 14 เมื่อปี พ.ศ. 2538 จากนั้นได้ไต่เต้าจากผู้ตัดสินชั้น 3 มาเป็นผู้ตัดสินชั้น 2 ก่อนขยับมาเป็นกรรมการตัดสินชั้น 1 ในปี 2542 ต่อมาในปี 2545 จึงเลื่อนชั้นเป็นกรรมการตัดสินนานาชาติ หรือฟีฟ่า ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยผู้ตัดสิน (ผู้กำกับเส้น) ปัจจุบันหลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีลอบวางระเบิดสังหารฯ ได้มาสังกัดเป็นข้าราชการในการกีฬาแห่งประเทศไทย
“เปาหนอม” มีผลงานในการตัดสินฟุตบอลรายการเอเชียนเกมส์ ที่กรุงโฮดา ประเทศกาตาร์ เมื่อปี 2006 โดยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับเส้นในรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างกาตาร์กับ อิรัก ทำหน้าที่ตัดสินฟุตบอลชิงแชมป์โลกอายุไม่เกิน 20 ปี ที่ประเทศแคนาดา และยังมีชื่อติดอันดับ 1 ใน 15 คนของเอเอฟซีในการที่จะได้รับการพิจารณาไปทำหน้าที่ตัดสินฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศแอฟริกาใต้ ถือเป็นผู้ตัดสินไทยตนเดียวที่ได้รับการพิจารณา โดยแฟนบอลไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยชื่นชอบในผลงานการตัดสินของ “เปาหนอม” เท่าไรนัก มีอยู่หลายสนามการแข่งขันที่คนดูมักจะโห่ไม่พอใจในการตัดสินของ “เปาหนอม” เนื่องจากตัดสินขัดต่อสายตาผู้ชมในสนาม จึงทำให้ดูเหมือนว่าจะมีคนชัง “เปาหนอม” มากกว่าคนรัก ส่วนสาเหตุการถูกลอบยิงครั้งนี้ไม่น่าจะมีใครรู้ดีเท่าตัว “เปาหนอม” คงต้องรอดูผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะออกมาอย่างไร?!
“กรรมเป็นตัวกำหนดผลแห่งการกระทำ คนเราจะรู้ตัวเองดีที่สุดว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้ จนต้องมีคนเอาปืนมาไล่ยิง เข้าทำนองบัญชีแค้นล้างด้วยเลือด!”
สอนของพ่อ สถิตในดวงใจ /รายงาน
อ่านรายละเอียดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์