ผอ.โรงเรียนดังย่านสายไหม ร้องกองปราบดำเนินคดีเจ้าของร้านสปา ร่วมกับพวกแบล็กเมล์ 2 ล้าน แลกกับถอนคดีกล่าวหาลวนลามขณะใช้บริการนวดที่ร้าน
วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น.นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สก.สค.) พร้อมด้วย นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ ได้พา นายเฉลิมชัย จันทรมิตรี ผอ.โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ย่านสายไหม กทม.และ นายผจญ โพธิราช รอง ผอ.โรงเรียนดังกล่าว ที่ถูกสาวสปาร้องเรียนว่ากระทำอนาจาร เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.จิรัชชัย ศุภวิรัชบัญชา พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อให้มีการตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างตัวเป็นอัยการ, ตำรวจยศ “พ.ต.ท.”, ทหารอากาศยศจ่า และ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 31 ปี เจ้าของร้านสปาแห่งหนึ่งย่านสายไหม ซึ่งหากพบว่าทั้งหมดร่วมกันกระทำความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จเพื่อให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และร่วมกันข่มขู่กรรโชกทรัพย์ โดยนำหลักฐานเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ภาพจากกล้องวงจรปิด และหลักฐานที่เกี่ยวข้องมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ตามที่ น.ส.เอ เจ้าของร้านสปาดังกล่าวได้เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการ อ้างว่าตนบังคับกระทำอนาจารโดยจับถอดเสื้อผ้า จับหน้าอก และทำอนาจาร เหตุเกิดร้านสปาดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อข่มขู่กรรโชกทรัพย์จากตน เป็นเงิน 2 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายแลกกับการยุติเรื่อง หากไม่ยินยอมก็จะฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตน ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า เรื่องดังกล่าวมีพิรุธนับตั้งแต่หลังเกิดเหตุ ก็ไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีทันที ปล่อยเวลาล่วงเลยไปแล้วถึง 3 วัน คือในวันที่ 20 พฤษภาคม ทาง น.ส.เอ จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตน และนายผจญ รอง ผอ.โรงเรียน ซึ่งได้ไปใช้บริการร้านสปาดังกล่าวพร้อมกัน จากนั้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ก็มีบุคคลที่แอบอ้างตัวว่าเป็นอัยการ เป็นนายตำรวจยศ พ.ต.ท.และทหาร เข้ามาข่มขู่นายผจญ ถึงหน้าโรงเรียน และร้านอาหารป่าสัก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียน เพื่อจะเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น โดยเรียกเงินเป็นจำนวน 2 ล้านบาท แต่หลังจากนายผจญ มาปรึกษา ตนจึงไม่ยินยอมเพราะไม่ได้กระทำความผิด
นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้ ทางกลุ่มคนดังกล่าวได้ฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรี เพื่อดำเนินคดีกับตนและนายผจญ ในข้อหาอนาจาร กักขัง หน่วงเหนี่ยว เพื่อให้เกิดความเสียหายชื่อเสียงและมีผลกับการทำงานในหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องอะไรขึ้นมาเลย หากตนไม่ได้เป็น ผอ.โรงเรียน มีตำแหน่งหน้าที่การงาน
“ปกติผมไม่ค่อยได้นวด แต่วันนั้นเพลียๆ จากการทำงาน นายผจญ จึงชวนไปใช้บริการนวดเพื่อคลายเครียดใช้เวลาประมาณ 40 นาที เมื่อนวดเสร็จแล้วก็กลับออกมา แต่ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวลักษณะเป็นทอมบอยมาทราบภายหลังว่าเป็นคู่ขากับ น.ส.เอ เข้ามาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ช่วงนั้นผมยังงงๆ อยู่ ว่าอยู่ดีๆ เขามาถามอย่างนี้ทำไม จึงไม่ได้ตอบอะไร กระทั่งมาถูกร้องเรียนว่าผมไปลวนลามดังกล่าว” นายเฉลิมชัย กล่าว
นายเฉลิมชัย กล่าวด้วยว่า ในระหว่างที่ถูกดำเนินคดี บุตรสาวตนเป็นผู้รับหมายเรียก ซึ่งตนรู้สึกสะท้อนใจมาก เพราะบุตรสาวสอบถามว่าตนทำอะไรแบบนี้ได้อย่างไร หลังจากนั้นจึงได้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ซึ่งเรื่องนี้ตนพร้อมจะต่อสู้คดีในชั้นศาล และจะดำเนินการเอาผิดกับผู้ร่วมขบวนการอย่างถึงที่สุด
ด้าน นายบำเหน็จ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนรู้สึกกังวลใจมาก เพราะเกิดความเสียหายต่อหน่วยงาน และเท่าที่รู้จักกับนายเฉลิมชัย ก็รู้ดีว่ามีประวัติการทำงานดี ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยใดๆ จึงต้องรับฟังข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อความเป็นธรรม แล้วก็พบว่ามีกลุ่มบุคคลข่มขู่กรรโชกทรัพย์นายเฉลิมชัย จากกรณีดังกล่าว โดยมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงเรียน รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านอาหารที่มีการนัดหมายไปเคลียร์ปัญหากัน ทำให้ตนต้องออกมาช่วยดูแลและปกป้องศักดิ์ศรีของข้าราชการครูและปกป้ององค์กรเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
“เรื่องนี้ผมอยากให้เป็นอุทาหรณ์กับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง เมื่อจะทำอะไรก็ต้องมีความรอบคอบ การใช้บริการร้านลักษณะนี้ต้องระมัดระวัง เพราะอาจมีบุคคลที่ไม่หวังดีต้องการจ้องทำลายอยู่ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เลี่ยงที่จะไปใช้บริการนวดที่มีมาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหา ส่วนข้อเท็จจริงในกรณีนี้เมื่อมีการแจ้งความดำเนินคดีแล้วก็คงต้องว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และหากว่า นายเฉลิมชัย กระทำผิดจริงเราก็คงไม่ปกป้องเช่นกัน” นายบำเหน็จ กล่าว
ขณะที่ ร.ต.อ.จิรัชชัย กล่าวว่า ได้รับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ไว้ในเบื้องต้น ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป