โฆษกตำรวจแถลงยืนยันไม่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของม็อบสวนยางที่ชุมนุมปิดถนน 2 จุดในอำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ย้ำยังไม่ต้องใช้กฎหมายพิเศษ
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราใน จ.นครศรีธรรมราช ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปิดการจราจรโดยได้นำรถเทรลเลอร์ขนาดใหญ่มาปิดกั้นเส้นทาง 2 จุด ได้แก่ แยกควนหนองหงส์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีผู้ชุมนุมจำนวน 300 คน และบริเวณแยกบ้านตูล ซึ่งเป็นทางกั้นรถไฟ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีผู้ชุมนุมจำนวน 150 คน ซึ่งจากการปิดเส้นทางทั้งทางรถยนต์และรถไฟดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้เส้นทางจำนวน 15,000 คน รถไฟกว่า 10 ขบวนไม่สามารถเดินทางได้ทำให้มีผู้โดยสารตกค้าง ส่วนผู้ที่เดินทางโดยรถยนต์ต้องอ้อมเส้นทางกว่า 100 กม. หรือต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที รวมถึงการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวต่อไปว่า ล่าสุด พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้สั่งเปิด ศปก.ตร. เพื่อติดตามสถานการณ์เต็มรูปแบบตลอด 24 ชม. โดยสั่งการให้สันติบาล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนในพื้นที่ เกาะติดสถานการณ์ด้านการข่าวอย่างใกล้ชิด โดยสรุปว่าขณะนี้มี 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรสวนยางในพื้นที่ที่เดือดร้อนจริงๆ และกลุ่มคนนอกพื้นที่ และกลุ่มที่หวังผลทางการเมือง มีพรรคการเมืองหนุนหลัง รวมทั้งมีกลุ่มวัยรุ่นที่พร้อมก่อเหตุรุนแรง ซึ่งการชุมนุมที่มีการแยกส่วนเช่นนี้ทำให้การเจรจาไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีแกนนำที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการเจรจาผ่านช่องทางฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต.
โฆษก ตร.กล่าวว่า สำหรับการดูแลการชุมนุมในส่วนภูมิภาคอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการเหตุการณ์ และ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช เป็นผู้บัญชาการกองกำลังเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนการทำงานของกำลังในพื้นที่ ผบ.ตร. ได้มอบอำนาจให้ ผบช.ภ.8 มีอำนาจเต็มในการสั่งการกำลังมาช่วยเหลือในการปฎิบัติภารกิจคลี่คลายสถานการณ์ทั้ง ภ.จว., ตชด., ทล., ทท.,รฟ.และ บ.ตร. และให้จัดตั้งทีมสืบสวนสอบสวน โดยมี รอง ผบช.ภ.8 เป็นหัวหน้า ดำเนินมาตรการทางกฎหมายกับแกนนำที่กระทำผิดกฎหมาย และผู้ก่อความรุนแรงและก่อเหตุวุ่นวายต่างๆ เช่น ขอหมายจับ, การบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพื่อดำเนินคดีภายหลังจากการชุมนุม นอกจากนี้ ล่าสุด ผบ.ตร.ได้สั่งทีมเชี่ยวชาญการบริหารเหตุการณ์วิกฤต หน่วยบินตำรวจ และฝ่ายเทคโนโลยี ไปสนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่เกิดเหตุแล้ว
ส่วนกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศจะยกระดับการชุมนุม ในวันที่ 3 ก.ย.นั้น พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ตำรวจในพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กำชับให้มีการตั้งด่านตรวจค้นตามจุดต่างๆ เพื่อคัดกรองอาวุธและบุคคลต้องสงสัย, พร้อมให้จัดทำแผนเผชิญเหตุ เตรียมกำลังพลและอุปกรณ์ให้พร้อมรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินด้วย ได้สั่งการให้ บช.ภ.1-9 บช.น. และ ศชต.เปิด ศปก.ตร.เต็มรูปแบบเพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่ของตนเอง เตรียมการทั้งกำลังพลและอุปกรณ์พร้อมไว้ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความอดทน ละมุนละม่อมและใช้มาตรการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อให้สามารถเปิดเส้นทางจราจรเพื่อให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง สามารถใช้เส้นทางสัญจรไปมาได้
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีนโยบายใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน แต่จะเน้นการเจรจาอย่างสันติวิธีใช้ความอดทนละมุนละม่อม ยึดหลักกฎหมาย ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษในการดูแลการชุมนุม ซึ่ง ผบ.ตร.ได้ให้นโยบายว่าหากสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่จะใช้กฎหมายปกติ ก็ให้เสนอขึ้นมา ซึ่ง บช.ภ.8 ในฐานะหน่วยปฏิบัติจะเป็นผู้วิเคราะห์สถานการณ์ว่าเหตุการณ์ในระดับใดจึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษดังกล่าว
โฆษก ตร.กล่าวด้วยว่า ล่าสุดศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อนุมัติออกหมายจับแกนนำก่อเหตุรุนแรง 6 คน ได้แก่ นายชญานิน คงลัง ,นายก้องเกียรติ ชูทอง ,นายสมภาษณ์ ขวัญทอง, นายสัมมิตร จุ้ยปลอด, นายประภาส ภักดีรัตน์ และนางวนิดา แก้วมณี ในข้อหากระทำการใดๆ ให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่จราจร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา229 ขณะที่เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติออกหมายจับจำนวน 9 คน ได้แก่ นายพีรพงศ์ วิชัยดิษฐ, นายภิญโญ หมื่นจร, นายบัญชา ณ พัทลุง, นายกิตติวดี ขุนทอง, นายสมโภชน์ กำเนิดรักษา, นายสำราญ คงสวัสดิ์, นายสากล อินทระ, นายสมสุข กำเนิดรักษา และนายสมเกียรติ ทองเสน ในข้อหาร่วมกันปิดกั้นทางหลวง หรือนำสิ่งใดมาขวางหรือวางไว้บนทางหลวงในลักษณะที่อาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล ตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 39