ศาลกรุงเทพใต้พิพากษาคดี “อิหร่าน” ปาระเบิด ภายในซอยสุขุมวิท 71 จำเลยที่ 1 อ่วม พิการ จำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 15 ปี พร้อมสั่งปรับร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเจ้าของบ้าน 2 ล้านบาท
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (22 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 505 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง 63 ศาลอ่านคำ พิพากษา คดีหมายเลขดำ ด.1446/2555 ที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายซาอิด โมราดิ (SAEID MORADI)อายุ 29 ปี ซึ่งขาซ้ายขาดจากเหตุระเบิด ขณะที่ตาขวามองไม่เห็น เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดและ นายมูฮัมหมัด ฮาซาอิ(Mohammad Khazaei) อายุ 43 ปี ชาวอิหร่าน เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดระเบิด , ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ , พยายามฆ่าผู้อื่น,ทำให้เสียทรัพย์ และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 ฯ รวม 6 ข้อหา
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2555 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 19 ธ.ค.54 - 14 ก.พ.2555 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองกับนางไลลา โรฮานี (LEILA ROHANI) นายซีดา การ์ด ซาเดด มะห์ซุส (SEDA GHAT ZADEH MASOUD) และนายนูโรซิ ซายัน อารี อัคบาร์ (NOROUZI SHAYAN ALI AKBAR) สัญชาติอิหร่านทั้งหมด พวกของจำเลยทั้งสองที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันทำและร่วมกันมีไว้ซึ่งวัตถุระเบิดระเบิดแรงสูงชนิดซีโฟร์ น้ำหนัก 1.5 ก.ก.ชนิดแสวงเครื่องจำนวน 5 ชุด ซึ่งหากดึงสลักออกจากกระเดื่องนิรภัยแล้วปล่อยกระเดื่องนิรภัย เข็มแทงชนวนที่ตัวเรือนชนวนจะทำงานถ่วงเวลาประมาณ 5 วินาที ก็จะเกิดระเบิดขึ้นสามารถสังหารชีวิตมนุษย์ สัตว์ ทรัพย์สินให้ได้รับความเสียหายได้ในรัศมีฉกรรจ์ประมาณ 10-15 เมตร จากจุดระเบิด
โดยเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองและนายซีดา การ์ด ซาเดด มะห์ซุส (SEDA GHAT ZADEH MASOUD) พวกของจำเลยทั้งสองที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันใช้ระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 1 ชุดที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บ้านเลขที่ 66 ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 (เจริญใจ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ของนายบัณฑิต พิฑูรมานิต ได้รับอันตรายและได้รับความเสียหายทั้งหลัง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 5 ล้านบาท นอกจากนั้นการทำให้ระเบิดของจำเลยที่ 1 ยังเป็นเหตุให้บ้านของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงเสียหายรวม 8 ราย และรถยนต์แท็กซี่ อีก 1 คัน นอกจากนี้ยังทำให้ตำรวจสน.คลองตันได้รับบาดเจ็บสาหัส จำนวน 2 ราย และทำให้ผิวถนนบริเวณกลางซอยปรีดีพนมยงค์ 31 เป็นหลุมกว้าง ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธขอสู้คดี
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านับแต่นางไลลา เช่าบ้านที่เกิดเหตุจากนายบัณฑิต จากนั้นนายอารี อัคบาร์ ได้เดินทางเข้าออกบ้านที่เกิดเหตุหลายครั้ง ก่อนวันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1 เลยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับนายอารี พฤติการณ์เชื่อว่า นายอารี เป็นผู้นำวัตถุระเบิดเข้ามาในบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อให้จำเลยทั้งสอง กับพวก นำไปใช้ ซึ่งมีการวางแผนโดยจำเลยที่ 2 เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก แล้วได้ไปเช่าโรงแรมนาซ่าเวกัส ห้อง 409 ย่านคลองตันไว้ ซึ่งมีนาย มะห์ซุส เข้ามาอาศัย ซึ่งภายหลังโจทก์นำสืบถึงการยึดได้อุปกรณ์ในการขนย้ายสลักนิรภัย วัตถุระเบิดจำนวนถึง 5 ชุดภายในห้องดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 2 กับพวกได้ไปซื้อรถจักรยานยนต์เตรียมไว้ 2 คัน และได้เดินทางกลับประเทศอิหร่าน ต่อมาช่วงเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน โดยที่นาย มะห์ซุส เดินทางเข้ามาประเทศไทยก่อนล่วงหน้า 1 วัน และทั้งหมดได้ไปท่องเที่ยวที่พัทยาพร้อมกัน จึงแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของจำเลยสอง และการที่นายอารี เข้าออกบ้านที่เกิดเหตุได้ น่าเชื่อว่าได้รับกุญแจบ้านมาจากนางไลลา แสดงว่า จำเลยทั้งสอง กับพวกดังกล่าวตกลงวางแผนกันมาก่อน ประกอบกับวัตถุระเบิดที่พบในบ้านก็เป็นวัตถุระเบิดที่ประกอบขึ้นมีแม่เหล็กแรงสูงสำหรับติดกับเป้าหมายโดยโจทก์ได้นำสืบถึงเหตุวางระเบิดภรรยานักการทูตประเทศอิสราเอลในอินเดียและจอร์เจีย ในวันที่ 13 ก.พ. 55 ซึ่งเหตุเกิดก่อนคดีนี้เพียงวันเดียว เหตุการณ์ในครั้งนั้นคนร้ายสัญชาติอิหร่านใช้วัตถุระเบิดโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดลักษณะวัตถุระเบิดเช่นเดียวกันกับพฤติการณ์ในคดีนี้
พยานหลักฐานโจทก์รับฟังข้อเท็จจริงได้เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องต้องกัน จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และใช้วัตถุระเบิดทำให้เกิดระเบิดในบ้าน ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำวัตถุระเบิดนั้น โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกันทำวัตถุระเบิด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้
แต่ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่าหลังจากที่ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดที่บ้านของนายบัณฑิตแล้ว จำเลยที่ 1 หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ แต่มีผู้คนมาที่เกิดเหตุหลายคน จำเลยที่ 1 จึงถือระเบิดอีกสองลูก เพื่อทำการหลบหนี แต่เมื่อมีชาวบ้านพยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ได้ติดตามไป จำเลยที่ 1 จึงวางระเบิดลงพื้นถนน จนกระทั่งมีรถแท็กซี่ขับรถมาคล่อมตรงจุดที่จำเลยวางระเบิดไว้จนเกิดระเบิดขึ้น จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลว่าระเบิดดังกล่าวอาจทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพื่อจะหลบหนีได้โดยสะดวก พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าโดยปราศจากข้อสงสัย จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามฟ้องจริงและเมื่อจำเลยที่ 1 หลบหนีออกจากซอยปรีดีพนมยงค์ 31 มาถึงหน้าโรงเรียนเกษมพิทยา จำเลยยังได้โยนวัตถุระเบิดเข้าใส่ ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ สุขวัต รอง สว.ป.สน.คลองตันกับพวก จนทำให้เกิดระเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งมีเจตนาฆ่า ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ ที่จะเข้ามาจับกุมจำเลยที่ 1 รวมทั้งยังทำให้ น.ส.ฝนหยก โพธิ์ไพงาม ได้รับอันตรายสาหัส พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานใช้วัตถุระเบิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้บ้านเรือนและทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221, 222 ,224 วรรคสอง 288, 289, 358, 360 ,371 ประกอบมาตรา 80 และ พ.ร.บ. อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนฯพ ศ 2490 มาตรา 55 และ 78 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรม ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานใช้วัตถุระเบิดกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯมาตรา78 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทหนักสุด และจำคุกตลอดชีวิตฐานใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน พร้อมกับให้ปรับ 100 บาท ฐานพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยเปิดเผยและไม่มีเหตุสมควร แต่เมื่อ นอกจากนี้ จำเลยที่1-2 ยังมีความผิดตาม มาตรา218(1), 221, 222 ,358 ประกอบ มาตรา 83 และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯซึ่งเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฏหมายหลายบทให้จำคุกจำเลยที่1-2 คนละ15ปีฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินและบุคคลอื่นและโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยซึ่งเป็นบทหนักสุด โดยให้จำเลยที่1-2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายบัณฑิต เจ้าของบ้านจำนวน2ล้านบาท แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิตและปรับ 100 บาทซึ่งหากจำเลยไม่ชำระเงินก็ให้กักขังแทนค่าปรับและยังให้จำเลยที่1ชดใช้เงินจำนวน 6,691 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีที่ทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะเสียหายให้กับบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ และให้ริบอุปกรณ์วัสดุการประกอบระเบิดของกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) บก.สปพ. ประมาณกว่า 10 นาย พร้อมด้วยสุนัขตำรวจ ได้ตรวจสอบวัตถุและสิ่งแปลกปลอมบริเวณโดยรอบศาลอย่างละเอียด รวมทั้งตรวจค้นตัวบุคคลและรถยนต์ที่จะเข้ามาภายในศาลอย่างเข้มงวด ขณะที่บรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดีในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่เอกอัคราชทูตอิสราเอลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอลเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาด้วย โดยบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเป็นไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะเดียวกันก็มีญาติของนายซาอิด เข้าร่วมฟังคำพิพากษาด้วย แต่ญาติของนายมูฮัมหมัด ไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด
ด้านนายกิตติพงษ์ เกียรติธนภูมิ ทนายความจำเลย เปิดเผยภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่า สำหรับเรื่องจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลหรือไม่นั้น หลังจากนี้ตนก็คงจะต้องเข้าไปคุยกับจำเลยทั้งสองคนภายในเรือนจำเสียก่อน รวมทั้งจะต้องปรึกษากับครอบครัวของจำเลยทั้งสองด้วย ว่าต้องการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ถ้าหากมีความเห็นว่าจะยื่นอุทธรณ์ก็จะต้องยื่นต่อศาลภายใน 30 วันภายหลังที่ศาลมีคำพิพากษา อย่างไรก็ตามภายหลังรับฟังคำพิพากษาแล้ว นายมูฮัมหมัด จำเลยที่2 รู้สึกดีใจและพอใจนำคำพิพากษาของศาล ส่วนจำเลยที่1 ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างไรก็ตามจำเลยทั้งสองน้อมรับคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอิหร่านมีสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนตัวนักโทษกันอยู่ ซึ่งจำเลยสามารถยื่นเรื่องของให้กลับไปคุมขังยังเรือนจำที่ประเทศบ้านเกิดได้
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้อัยการไม่ได้สั่งฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาก่อการร้ายแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเพียงข้อกล่าวหาของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น
ขณะที่นายวรวิทย์ สัมพัฒนวรชัย อัยการผู้เชี่ยวชาญฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้4 เปิดเผยว่า สำหรับคำพิพากษาในวันนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ แต่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยที่ศาลไม่สั่ง เช่นขอให้ริบทรัพย์และค่าปรับบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร ส่วนนายมะห์ซุส ผู้ต้องหาอีกรายนั้น ขณะนี้อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้มีการประสานขอส่งตัวกลับมาและทราบว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาของอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาว่าจะส่งตัวมาดำเนินคดีตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่ ส่วนนางไลลา และนายอารี ผู้ต้องหาอีก 2 ราย ซึ่งได้หลบหนีกลับประเทศอิหร่านไปแล้ว คาดว่าน่าจะติดตามตัวกลับมาได้ยาก ส่วนเรื่องข้อหาก่อการร้ายนั้นทางอัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานยังรับฟังไม่ได้ถึงขนาดนั้น โดยหลังจากนี้ตนก็จะรายงานเรื่องดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุดเพราะว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญ เพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไรต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ราชทัฑณ์ต้องควบคุมตัวนายซาอิด โมราดิ จำเลยที่ 1 นั่งรถเข็นออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำพิพากษา
ภาพและคลิปข่าวเหตุการณ์เมื่อ 14 ก.พ. 2555