ศาลอุทธรณ์แก้โทษ อดีตตำรวจประชาชื่นปืนโหดจับพ่อค้าซีดียิงทหารดับ เหลือจำคุก 20 ปี ระบุเป็นเหตุเฉพาะหน้า จำเลยไม่ได้เตรียมการหรือไตร่ตรองไว้ก่อน ด้านญาติผู้ตายขอปรึกษาทนายก่อนตัดสินใจฎีกาหรือไม่
ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกวันนี้ (25 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ในคดีหมายเลขดำที่ อ.531/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา และส.อ.หญิง นกแก้ว ประสมศรี สังกัดกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ภรรยาของ ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี สารวัตรทหาร อายุ 32 ปี (สห.) สังกัดกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด (ขณะนั้น) ซึ่งถูกจำเลยที่ 1 ยิงเสียชีวิต และครอบครัวรวม 4 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.อ.ประสาท จันทิมา อายุ 35 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.ประชาชื่น จำเลยที่ 1 จ.ส.ต.ปวริศร์ จองพิทักษ์พงศ์ ฝ่ายสืบสวน สน.ประชาชื่น จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2552 สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2551 เวลา 17.00 น. จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ปืนพกสั้นยิง ส.ต.ชัยวุฒิ โดยเจตนาฆ่าไตร่ตรองไว้ก่อนจนถึงแก่ความตายเนื่องจากจำเลยทั้งสองโกรธเคืองที่ผู้ตายเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับการจับกุมพ่อค้าซีดี เพราะผู้ตายเข้าใจว่าพวกจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และเกิดโต้เถียงกันจนจำเลยทั้งสองไม่พอใจใช้อาวุธยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเจตนาฆ่าโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย เหตุเกิดที่แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 (4) ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และป้องกันตัวตามข้อกล่าวอ้างจำเลยที่ 1 และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อมา ส.ต.อ.ประสาท จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์สู้คดี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า พยานโจทก์จำนวน 4 ปากเบิกความสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งคร่อมจักรยานยนต์ โดยอาวุธปืนของผู้ตายยังอยู่ในซองและเหน็บอยู่เอวของผู้ตายขณะถูกยิง จากนั้นเมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยที่ 1 ได้ใช้มือเกี่ยวอาวุธปืนพร้อมซองออกจากเอว และใช้เท้าเขี่ยปืนให้ออกไปพ้นตัวโดยให้ไปอยู่ใกล้มือของผู้ตาย ซึ่งโจทก์มีภาพถ่ายยืนยันถึงตำแหน่งอาวุธปืนได้อย่างชัดเจน ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายไม่ได้ชักปืนชี้ไปยังจำเลยที่ 1 และผู้ตายไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมยิงต่อสู้ตามที่จำเลยที่ 1 เบิกความไว้ และวัตถุพยานไม่พบกระสุนปืนอยู่รังเพลิง รวมถึงปืนยังไม่ได้ขึ้นลำในสภาพพร้อมยิง ส่วนข้อเท็จจริงจากบาดแผลพบว่าผู้ตายถูกยิงขณะนั่งคร่อมรถจักรยานอยู่ แนววิถีกระสุนยิงจากบนลงล่าง นอกจากนี้ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ยังขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวน จึงมีพิรุธน่าสงสัย แต่การที่จำเลยที่ 1 ขึ้นลำปืนไว้ก่อนเรียกให้ผู้ตายหยุดและยิงผู้ตาย เนื่องจากอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ให้ถือว่าเป็นเหตุเร่งด่วนเฉพาะหน้า
ประเด็นต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยที่ 1 เจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่เข้าจับกุมแผงค้าซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ผู้ตายเข้ามาข่มขู่จำเลยที่ 1 ขณะปฏิบัติหน้าที่ และมีการโต้เถียงกันขึ้นก่อนที่จำเลยที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เมื่อกระทำเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการฆ่าโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน แต่เป็นเหตุเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย นอกจากนี้ในท้ายบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์มา 17 ปี ไม่เคยกระทำผิด และยังมีผลงานดีเด่น จึงเห็นควรให้ลงโทษสถานเบา จึงพิพากษาแก้ให้ลดโทษจำเลยที่ 1 เหลือจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และให้ริบของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ ส.อ.หญิง นกแก้ว ภรรยาผู้ตาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนกว่า 20 คน ได้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี โดยภายหลัง ส.อ.หญิง นกแก้วเปิดเผยว่า ในตอนนี้ตนยังไม่แน่ใจว่าจะยื่นฎีกาต่อหรือไม่ ต้องขอปรึกษากับสภาทนายความในเรื่องของกฎหมายก่อนตัดสินใจ