ศาลอุทธรณ์ สั่งรับฟ้องเพิ่ม “กษิต ภิรมย์” หมิ่น “ทักษิณ” เปรียบเทียบมุสโสลินี กล่าวหาฆ่าตัดตอนยาเสพติด พร้อมนัดสอบคำให้การ เช้า 13 ก.ย.นี้
ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (19 ก.ค.) ศาลอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1037/2552 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ, บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด โดย นายขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการ และบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด โดย นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล กรรมการ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 จากกรณีเมื่อวันที่ 3, 11 และ 29 พ.ย.2551 ขณะที่ร่วมชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นายกษิต ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที ทำเนียบรัฐบาล ทำนองว่านักโทษชายชื่อทักษิณ ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมถอย และก็สู้ตาย พยายามทุกวิถีทางที่จะยึดประเทศไทยให้เป็นสมบัติส่วนตัว และข้อความอื่น
โดยคดีนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นชี้ว่าคดีมีมูลและมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 21 ก.ค.2553 ไว้ 2 ประเด็นที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามทุกวิถีทางที่จะยึดประเทศไทยให้เป็นสมบัติส่วนตัว โดยให้ยกฟ้องในประเด็นที่นายกษิต กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ทำนองว่า มือเปื้อนเลือดจากนโยบายฆ่าตัดตอนในการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด และเหตุที่มีชาวมุสลิมเสียชีวิตในภาคใต้ รวมทั้งการเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณ กับอดีตผู้นำโลกมุสโสลินี ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่จำเลย กล่าวถึงโจทก์เรื่องการเกิดเหตุฆ่าชาวมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ และการฆ่าตัดตอน จำเลยสามารถวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นได้ เนื่องจากขณะนั้นโจทก์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถือเป็นบุคคลสาธารณะ จึงไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลมีคำสั่งกลับให้รับฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2551 ว่า นายกษิต จำเลยที่ 1 กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล มีข้อความตอนหนึ่งว่า คุณทักษิณ จะคุยโวมาตลอดเวลา เช่น เป็นผู้นำประเทศคนที่ 2 ที่ได้ปฏิรูประบบราชการ เขาก็จะอ้างคนนี่คนโน่นตลอดเวลา ล่าสุดอ้างถึง เนลสัน แมนเดลา ซึ่งไม่น่าจะออกมาจากปากคุณทักษิณ น่าจะเป็นอยู่อีกชุดหนึ่งของผู้นำโลกมุสโสลินี ฮิตเลอร์ สตาลิน เปรอง จอมเผด็จการของโลกทั้งหลาย รวมทั้งผู้นำเกาหลีเหนือ หรือ จีน และอย่าลืมว่านายทักษิณนั้น ยังมีคดีอื่น เช่น การฆ่าพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ภาคใต้ และกรณีการฆ่าตัดตอน เนื่องมาจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด จำนวน 2,500 ศพ
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าเหตุการณ์ทั้งสองดังกล่าวเกิดขึ้นโดยคำสั่งของโจทก์หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นด่วนสรุปให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อคำเบิกความฝ่ายโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพียงพอว่าคดีมีมูลจะต้องมีการพิสูจน์ให้สิ้นกระแสความก่อน จึงมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาพิพากษาด้วย
ภายหลังศาลอาญา อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่สั่งกลับให้รับฟ้องเพิ่มในประเด็นหมิ่นประมาทแล้ว ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสามในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.