สน.พระอาทิตย์ / สามยอด
“แล้วผมจะได้อะไร ปักษ์ใต้ ใครอยากไปอยู่ ผมก็ต้องไปกับลูกชาย พ่อลูกตายแทนกันได้ และเขาก็ยิงปืนแม่น เอาพวกยิงไม่เข้าเป้าไป เอาไปทำไม เปลืองที่นั่ง เปลืองข้าว”
คำชี้แจงจาก “เหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ต่อข้อสงสัยสังคมถึงการแต่งตั้ง ร.ต.อ.ดวง อยู่บำรุง นายเวร ผบก.น.9 อดีตรองสารวัตรศูนย์อบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในคณะทำงานชุดประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นทีมงานชุดเล็กในการแก้ปัญหาเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
มีผลประโยชน์อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่
การแต่งตั้ง ร.ต.อ.ดวง เข้ามาเป็นคณะทำงานแก้ปัญหาเหตุไม่สงบชายแดนใต้ ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ ร.ต.อ.เฉลิม ซุ่มเงียบลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแรก หลังจากได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลปัญหาไฟใต้ ก็ปรากฏภาพ ร.ต.อ.ดวงเฉลิม เดินเคียงคู่ผู้เป็นพ่อตลอดการปฏิบัติหน้าที่ของ ร.ต.อ.เฉลิม
ภาพ ร.ต.อ.ดวง เคียงคู่ ร.ต.อ.เฉลิม ครั้งนั้น ไม่ใช่ลงไปในฐานะร่วมคณะหรือไม่เป็นเพื่อนพ่อ แต่ลงไปในรูปแบบทีมรักษาความปลอดภัยให้กับรองนายกรัฐมนตรี มีการแต่งเครื่องแบบ สวมแว่นตาดำและถืออาวุธปืนอย่างครบครัน จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงความเหมาะสมในการลงไปทำหน้าที่ดังกล่าวของ ร.ต.อ.ดวงเฉลิม
เพราะตามตำแหน่งหน้าที่ ร.ต.อ.ดวง เป็นนายเวร ผบก.น.9 เป็นครูฝึกยิงปืนให้กับตำรวจนครบาล ตามเหตุผลที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.รับโอนย้าย ร.ต.อ.ดวง มาจากทหารเข้าเป็นตำรวจ
แต่ดูเหมือนเสียงวิจารณ์ต่างๆ จะไม่ทำให้ความตั้งใจในการผลักดันลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิมลดน้อยถอยลง เพราะเมื่อมีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะประธานศูนย์ฯก็ตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยปฏิบัติการในทางลับ ทำหน้าที่หาข้อมูล ข้อเท็จจริง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
มี ประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ร่วมกับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และไม่ลืมพ่วง ร.ต.อ.ดวงเฉลิม เข้ามาเป็นคณะทำงานด้วยตามเหตุผลที่ ร.ต.อ.เฉลิม อ้างไว้
ถามว่า การแต่งตั้ง ร.ต.อ.ดวง ร่วมคณะแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม บอกไว้ใช่หรือไม่
คำตอบคือ ใช่ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ในการแต่งตั้ง ร.ต.อ.ดวง เป็นทีมงาน
แต่ใช่เฉพาะตอนนี้ เพราะการเข้าไปแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงที่สถานการณ์คุกรุ่นคงไม่มีผลประโยชน์อะไรให้เข้าไปตักตวง ทว่าถ้าถามว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ ก็คงต้องบอกแบบไม่อ้อมค้อม
“มี”
ถามต่อว่า แล้ว ร.ต.อ.เฉลิม รู้ผลประโยชน์แฝงหรือไม่ คำตอบก็คือเชื่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม รู้ชอตนี้อยู่แก่ใจ แต่ไม่ได้พูดอธิบายออกมา สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิม ให้สัมภาษณ์นั้นเป็นเพียงแค่กระพี้ของเรื่องราว ไม่ใช่แก่นแท้ของข้อเท็จจริง
ลึกๆ แล้วการร่วมทีมเป็นคณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของ ร.ต.อ.ดวง ประโยชน์ที่จะได้รับ ก็คือ “สิทธิพิเศษ”เพิ่มเติมที่จะได้รับตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2550 ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งด้านการเงิน งบประมาณ เป็นต้น
แต่สิ่งสำคัญของสิทธิในการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญคือ สิทธิประโยชน์ในการนับระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่เป็นทวีคูณเพื่อประโยชน์ในการแต่งตั้ง คือ ไปทำงาน 1 ปี ได้นับเป็น 2 ปี
และดูเหมือนการร่วมคณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ร.ต.อ.ดวง ก็เข้าข่ายน่าจะได้รับสิทธิพิเศษการปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะคณะทำงานที่ ร.ต.อ.เฉลิม ตั้งขึ้นมาเป็นการตั้งโดยผ่านความเห็นชอบและการยอมรับจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฝ่ายบริหารที่บริหารนโยบายของประเทศ
ดังนั้นสิ่งที่ ร.ต.อ.ดวง จะได้ประโยชน์ตรงๆ ก็คือ เมื่อถึงช่วงเวลาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ร.ต.อ.ดวง ก็สามารถนำวันทวีคูณที่ได้รับไปใช้ในหลักเกณฑ์การแต่งตั้งขึ้นในตำแหน่งที่สูงขึ้น อย่างเช่น ตามหลักเกณฑ์ ก.ตร. รองสารวัตร (รอง สว.) ขึ้นเป็น สารวัตร(สว.) ต้องครองตำแหน่งมาไม่น้อยกว่า 8 ปี
หาก ร.ต.อ.ดวง ครองตำแหน่งเดิมมา 6 ปี ก็สามารถบวกเพิ่มจากการนับวันทวีคูณอีก 2 ปี ครบ 8 ปี ตามเกณฑ์การแต่งตั้งขึ้น “สารวัตร”ทันที
แม้ตามข้อกำหนดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะตั้งเงื่อนไขการนับวันทวีคูณเพื่อพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น กำหนดว่าคนที่จะได้รับสิทธิต้องผ่านการประเมินผลงานต้องอยู่ในพื้นที่จริง ไม่ใช่เอาชื่อมาฝากเพื่อเดินทางลัดตัวไปอยู่ที่อื่น
ถามว่าแล้วใครจะกล้าประเมินให้ลูกชายรองนายกฯกำกับดูแลงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ผ่าน ตราบใดที่ผู้เป็นพ่อยังมีบทบาทเช่นนี้
แปะชื่อ“สารวัตรดวง”ไว้ก่อนได้เลย.