สาวใหญ่แต่งตัวไฮโซทำทีตีสนิทกับเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องเพชร พี.ที.เอส. หลอกสลับเครื่องเพชรปลอมก่อนจะนำเพชรแท้ๆ มูลค่าร่วม 3.4 ล้าน หลบหนีไปอย่างลอยนวล ตร.คาด คนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และมีความรู้เรื่องเครื่องเพชรเป็นอย่างมาก ภายหลังได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อตามตัวมาดำเนินคดี
วันที่ 12 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา นายพิริยะ เกษร อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 89/232 หมู่บ้านนนทิชา ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี เจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องเพชร พี.ที.เอส. ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ธนภัทร กังรวมบุตร พนักงานสอบสวน สน.บางนา ว่าถูกคนร้ายเป็นหญิงคนหนึ่งทำทีเข้ามาตีสนิทและขอซื้อเครื่องเพชร ก่อนจะอาศัยจังหวะเผลอทำการสลับสับเปลี่ยนเอาเพชรปลอมไว้ แล้วฉกเครื่องเพชรรวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท ก่อนหลับหนีไป
นายพิริยะ เจ้าของร้านเครื่องเพชร พี.ที.เอส. ให้การว่า ตนทำกิจการเปิดร้านขายเครื่องเพชรโดยจะเวียนไปจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทำมาได้ประมาณ 5-6 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้คนร้ายคนดังกล่าวซึ่งเป็นหญิง รูปร่างท้วม ผิวขาว อายุประมาณ 40 ปี แต่งตัวท่าทางดูมีฐานะและมีความรู้เรื่องเครื่องเพชรได้เข้ามาตีสนิทกับตน ในช่วงที่ไปออกร้านย่านเมืองทองธานี จากนั้นก็ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อกันเรื่อยมา และบอกตนว่าจะขอซื้อเครื่องเพชรจำนวนหลายชิ้น ตนจึงได้ติดต่อให้หญิงคนดังกล่าวเดินทางมาหาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางนา ที่ตนกำลังเปิดร้านขายอยู่เพื่อให้หญิงคนดังกล่าวเดินทางมาดูเครื่องเพชรตามที่ได้คุยกันไว้ ต่อมาหญิงคนดังกล่าวจึงเดินทางมาที่ร้านของตนในเวลาประมาณ 11.00 น.เศษของวานนี้ (11 เม.ย.)
นายพิริยะ ให้การต่อว่า เมื่อมาถึงที่ร้านก็พบว่าหญิงคนดังกล่าว แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี ท่าทางดูดีมีฐานะเช่นเดิม ก่อนจะเข้าชวนตนกับภรรยาพูดคุยอยู่นานประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมทั้งขอดูเครื่องเพชรซึ่งประกอบไปด้วย เพชรขนาด 3 กะรัต จำนวน 2 เม็ด เพชรรูปสี่เหลี่ยม 1 เม็ด แหวนเพชร 2 วง แหวนทับทิม 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น และจี้เพชรอีก 1 เม็ด ก่อนที่หญิงคนดังกล่าวจะตกลงขอซื้อเครื่องเพชรทั้งหมด รวมราคาประมาณ 5.4 ล้านบาท ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไรจึงบอกเลขที่บัญชีให้หญิงคนดังกล่าวไปโอนเงินให้ แต่ขณะที่ตนกำลังจะนำแหวนเพชรที่หญิงคนดังกล่าว ช่วงนั้นตกลงซื้อไปให้ช่างที่อยู่อีกชั้นหนึ่งของห้างทำเรือนให้ใหม่ หญิงคนดังกล่าวก็ได้หยิบแหวนเพชรวงหนึ่งมาให้ตนเพื่อให้นำไปทำเรือนใหม่ด้วย พร้อมกับกำชับไว้ว่าแหวนเพชรวงนี้มีมูลค่าสูงถึง 18 ล้านบาท ให้ระมัดระวังด้วย เพราะเกรงว่าจะถูกช่างสับเปลี่ยน
นายพิริยะ ให้การต่อว่า หลังจากนั้นตนจึงเก็บเครื่องเพชรทั้งหมดที่คนร้ายตกลงซื้อเอาไว้ที่ร้านก่อน จากนั้นก็ลงไปหาช่างที่ชั้นล่าง โดยปล่อยให้หญิงคนดังกล่าวอยู่กับภรรยาที่ร้าน แต่เมื่อนำแหวนมูลค่า 18 ล้านไปให้ช่างตรวจสอบดู ช่างก็แจ้งตนว่าแหวนเพชรวงดังกล่าวเป็นของปลอม ตนจึงเอะใจรีบกลับมาที่ร้าน ก็ปรากฏว่าหญิงคนดังกล่าวออกจากร้านไปแล้ว เมื่อสอบถามภรรยาก็บอกว่า ช่วงที่ตนลงไปหาช่างเพียงไม่กี่นาที หญิงคนดังกล่าวก็บอกภรรยาที่กำลังทำบัญชีเครื่องเพชรทั้งหมดว่า ไหนๆจะซื้อเพชรแล้วขอดูเพชรทั้งหมดอีกครั้ง จากนั้นก็รีบออกจากร้านไปโดยบอกว่าจะไปกดเงิน ตนจึงรีบนำเครื่องเพชรทั้งหมดมาตรวจสอบอีกครั้งก็ปรากฏว่า ถูกหญิงคนดังกล่าวสลับสับเปลี่ยนเอาของปลอมมาไว้ให้บางส่วน โดยเพชรจริงที่ถูกสับเปลี่ยนไปนั้นประกอบด้วย เพชรขนาด 3 กะรัต 2 เม็ด แหวนเพชร 2 วง และแหวนทับทิมอีก 1 วง รวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท ต่อมาตนจึงรีบมาแจ้งความไว้ดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางนา สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และมีความรู้เรื่องเครื่องเพชรเป็นอย่างมาก เนื่องจากรู้จักเพชรน้ำต่างๆ หมดทุกชนิด ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายสืบสวน สน.บางนา กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณภายในห้างที่เกิดเหตุว่ามีกล้องตัวใดสามารถจับภาพคนร้ายเอาไว้ได้บ้างหรือไม่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการติดตามจับกุมตัวต่อไป
วันที่ 12 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา นายพิริยะ เกษร อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 89/232 หมู่บ้านนนทิชา ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี เจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องเพชร พี.ที.เอส. ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ธนภัทร กังรวมบุตร พนักงานสอบสวน สน.บางนา ว่าถูกคนร้ายเป็นหญิงคนหนึ่งทำทีเข้ามาตีสนิทและขอซื้อเครื่องเพชร ก่อนจะอาศัยจังหวะเผลอทำการสลับสับเปลี่ยนเอาเพชรปลอมไว้ แล้วฉกเครื่องเพชรรวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท ก่อนหลับหนีไป
นายพิริยะ เจ้าของร้านเครื่องเพชร พี.ที.เอส. ให้การว่า ตนทำกิจการเปิดร้านขายเครื่องเพชรโดยจะเวียนไปจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทำมาได้ประมาณ 5-6 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้คนร้ายคนดังกล่าวซึ่งเป็นหญิง รูปร่างท้วม ผิวขาว อายุประมาณ 40 ปี แต่งตัวท่าทางดูมีฐานะและมีความรู้เรื่องเครื่องเพชรได้เข้ามาตีสนิทกับตน ในช่วงที่ไปออกร้านย่านเมืองทองธานี จากนั้นก็ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อกันเรื่อยมา และบอกตนว่าจะขอซื้อเครื่องเพชรจำนวนหลายชิ้น ตนจึงได้ติดต่อให้หญิงคนดังกล่าวเดินทางมาหาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางนา ที่ตนกำลังเปิดร้านขายอยู่เพื่อให้หญิงคนดังกล่าวเดินทางมาดูเครื่องเพชรตามที่ได้คุยกันไว้ ต่อมาหญิงคนดังกล่าวจึงเดินทางมาที่ร้านของตนในเวลาประมาณ 11.00 น.เศษของวานนี้ (11 เม.ย.)
นายพิริยะ ให้การต่อว่า เมื่อมาถึงที่ร้านก็พบว่าหญิงคนดังกล่าว แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี ท่าทางดูดีมีฐานะเช่นเดิม ก่อนจะเข้าชวนตนกับภรรยาพูดคุยอยู่นานประมาณ 2 ชั่วโมง พร้อมทั้งขอดูเครื่องเพชรซึ่งประกอบไปด้วย เพชรขนาด 3 กะรัต จำนวน 2 เม็ด เพชรรูปสี่เหลี่ยม 1 เม็ด แหวนเพชร 2 วง แหวนทับทิม 1 วง สร้อยเพชร 1 เส้น และจี้เพชรอีก 1 เม็ด ก่อนที่หญิงคนดังกล่าวจะตกลงขอซื้อเครื่องเพชรทั้งหมด รวมราคาประมาณ 5.4 ล้านบาท ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไรจึงบอกเลขที่บัญชีให้หญิงคนดังกล่าวไปโอนเงินให้ แต่ขณะที่ตนกำลังจะนำแหวนเพชรที่หญิงคนดังกล่าว ช่วงนั้นตกลงซื้อไปให้ช่างที่อยู่อีกชั้นหนึ่งของห้างทำเรือนให้ใหม่ หญิงคนดังกล่าวก็ได้หยิบแหวนเพชรวงหนึ่งมาให้ตนเพื่อให้นำไปทำเรือนใหม่ด้วย พร้อมกับกำชับไว้ว่าแหวนเพชรวงนี้มีมูลค่าสูงถึง 18 ล้านบาท ให้ระมัดระวังด้วย เพราะเกรงว่าจะถูกช่างสับเปลี่ยน
นายพิริยะ ให้การต่อว่า หลังจากนั้นตนจึงเก็บเครื่องเพชรทั้งหมดที่คนร้ายตกลงซื้อเอาไว้ที่ร้านก่อน จากนั้นก็ลงไปหาช่างที่ชั้นล่าง โดยปล่อยให้หญิงคนดังกล่าวอยู่กับภรรยาที่ร้าน แต่เมื่อนำแหวนมูลค่า 18 ล้านไปให้ช่างตรวจสอบดู ช่างก็แจ้งตนว่าแหวนเพชรวงดังกล่าวเป็นของปลอม ตนจึงเอะใจรีบกลับมาที่ร้าน ก็ปรากฏว่าหญิงคนดังกล่าวออกจากร้านไปแล้ว เมื่อสอบถามภรรยาก็บอกว่า ช่วงที่ตนลงไปหาช่างเพียงไม่กี่นาที หญิงคนดังกล่าวก็บอกภรรยาที่กำลังทำบัญชีเครื่องเพชรทั้งหมดว่า ไหนๆจะซื้อเพชรแล้วขอดูเพชรทั้งหมดอีกครั้ง จากนั้นก็รีบออกจากร้านไปโดยบอกว่าจะไปกดเงิน ตนจึงรีบนำเครื่องเพชรทั้งหมดมาตรวจสอบอีกครั้งก็ปรากฏว่า ถูกหญิงคนดังกล่าวสลับสับเปลี่ยนเอาของปลอมมาไว้ให้บางส่วน โดยเพชรจริงที่ถูกสับเปลี่ยนไปนั้นประกอบด้วย เพชรขนาด 3 กะรัต 2 เม็ด แหวนเพชร 2 วง และแหวนทับทิมอีก 1 วง รวมมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท ต่อมาตนจึงรีบมาแจ้งความไว้ดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางนา สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี และมีความรู้เรื่องเครื่องเพชรเป็นอย่างมาก เนื่องจากรู้จักเพชรน้ำต่างๆ หมดทุกชนิด ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายสืบสวน สน.บางนา กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณภายในห้างที่เกิดเหตุว่ามีกล้องตัวใดสามารถจับภาพคนร้ายเอาไว้ได้บ้างหรือไม่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการติดตามจับกุมตัวต่อไป
