ศาลอาญาสั่งจำคุก 12 ปี เสธ.ไก่ แก๊งปล้นเงิน 18 ล้าน บ้าน "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" อดีตปลัดคมนาคม ส่วนจำเลยที่ 7 ยกฟ้องข้อหารับของโจร แต่ขังไว้่ระหว่างอุทธรณ์ร
วันนี้ (29 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีปล้นทรัพย์บ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม หมายเลขดำ อ.347/2555 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น, นายเสาร์แก้ว นามวงค์, นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน, นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน, นายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี, นายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา, นายประพันธ์ เรียงเครือ, นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพฯ, ร่วมรับของโจร และร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 12 ก.พ. 2554 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้คัตเตอร์, ชะแลงเหล็กจำนวน 3 อันติดตัว บุกรุกเข้าไปในบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้เสียหายที่ 1 ในซอยลาดพร้าว 62 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. แล้วลักเงินสดจำนวน 18,121,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยข่มขู่และทำร้ายนางจันทรา สังเกิด ผู้เสียหายที่ 2 และ น.ส.สาวิตตรี บุญอุ้ม ผู้เสียหายที่ 3 ลูกจ้างของผู้เสียหายที่ 1 จนปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะโดยช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. ท้องที่ตำบลและอำเภอต่างๆ จ.กาญจนบุรี และ จ.เชียงราย เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ป.อาญา มาตรา 310, 310 ทวิ, 340, 340 ตรี, 357, 365, 371
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ช่วงเกิดเหตุ จำเลยได้มีการติดต่อกันด้วยตนเองและใช้โทรศัพท์เคลื่อนติดต่อกันเรื่อยมา โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้วางแผนและชักชวนให้จำเลยอื่น ร่วมกระทำผิด โดยฝ่ายโจทก์มีนายนัฐพล จันทร์ชั่ง กับพวก เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ติดต่อให้พยานช่วยหารถยนต์ตู้ เพื่อจะนำไปใช้ขนเงินที่จะเข้าปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีเงินจำนวนมาก ที่ได้จากการคดโกงแผ่นดิน และจะไม่กล้าเข้าแจ้งความ โดยพยานจะได้เงินส่วนแบ่ง 10 ล้านบาทพร้อมหยิบเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ และเครื่องช๊อตไฟฟ้า ที่เตรียมไว้ให้ดู นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังพาพยานและเพื่อน ไปดูบ้านของปลัดกระทรวงคนดังกล่าวด้วย แต่พยานเห็นว่า บ้านหลังใหญ่โต จึงเกิดความกลัว และตัดสินใจไม่เข้าร่วมปล้น เห็นว่าพยานโจทก์ เบิกความสอดคล้องต้องกันถึงพฤติการณ์ และเมื่อได้เงินจากการปล้นมาก็ได้แบ่งให้จำเลยอื่นเก็บไว้ และกำชับว่า อย่ารีบนำเงินไปใช้ รวมทั้งจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นแฟนของจำเลยที่ 1 ด้วย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ จำเลยที่ 1 ,2 และ 3 กระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และใช้ยานพาหนะ อันเป็นบทหนักสุดจำคุกจำเลยที่ 1, 2 และ 3 คนละ 18 ปี ปรับ 90 บาท ความผิดฐานพกพาอาวุธมีด คำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 12 ปี คงปรับ 60 บาทส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ คนละ 9 ปี คงปรับ 45 บาท
ส่วนจำเลยที่ 4, 5, 6 และ 9 พิพากษาว่ามีความผิดฐานร่วมกันรับของโจร (เงินจากการปล้น) จำคุกคนละ 5 ปี โดยจำเลยที่ 4 และ 6 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน ขณะที่จำเลยที่ 5 และ 9 ให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้คนละ 3 ปี 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 8 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์ จำคุก 12 ปี ทางพิจารณาคำให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 8 ไว้ 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 7 พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัย อีกทั้งจำเลยได้ให้การปฏิเสธมาตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 7 แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ และให้คืนเงินของกลางแก่เจ้าของ