รอง ผบ.ตร.เรียกพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน ตรวจสำนวนคดีรุกป่าแก่งกระจาน หลังมีการสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท. ระบุสำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ หากสั่งให้สอบเพิ่มก็จะส่งนายตำรวจลงไปร่วม ส่วนเรื่องวินัยต้องรอผลคดีอาญา ยันตำรวจไม่มีการช่วยเหลือกัน ขู่หากพบมีการช่วยเหลือกันจะจัดการขั้นเด็ดขาด
วันนี้ (25 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเรียกสำนวนคดีลักลอบล่าสัตว์ป่า กรณีพนักงานสอบสวนสรุปสํานวนสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ธีรยุทธ เกตุมั่งมี สว.สส.สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในคดีล่าสัตว์ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มาพิจารณาตรวจสอบ โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ
พล.ต.อ.ปานศิริให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า คดีที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ. 2523 ข้อ 12 ประกอบหนังสือกระทรวงหมาดไทย เรื่องการควบคุมการสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติฯ ทางฝ่ายปกครองจะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยคดีนี้มีนายอำเภอแก่งกระจานเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน มีปลัดอำเภอ และพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน เข้าร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน โดยการสอบสวนได้ทำสำนวนแยกเป็น 3 คดี และมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา 8 คน พร้อมส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดเพชรบุรีไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา
รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีของ พ.ต.ท.ธีรยุทธ ที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นเอกฉันท์สั่งไม่ฟ้องนั้น ตร.ได้ดำเนินการใน 3 ส่วน โดยในส่วนของคดีอาญาอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ เมื่ออัยการได้ตรวจสอบแล้ว หากมีการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมจะมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปร่วมสอบสวนร่วมกับฝ่ายปกครอง เพื่อให้การสอบสวนมีความละเอียด รอบคอบ ครบถ้วน ชัดเจนและรวดเร็ว สำหรับด้านวินัยทาง พล.ต.ต.ธเนษฐ สุนทรสุข ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวนโดยต้องรอผลทางคดีประกอบด้วย แต่ตนได้สั่งการให้ทำด้วยความละเอียด รอบคอบ ชัดเจนตรงไปตรงมา และด้านปกครอง ในการแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ผบช.ภ.7 ได้มีคำสั่งย้ายพ.ต.ท.ธีรยุทธ ไปเป็น สว.อก.สภ.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานสืบสวนสอบสวนอีก
“เราขอยืนยันว่าทางตำรวจจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แม้ว่าสำนวนจะหลุดมือไปแล้ว แต่เราก็ไม่ยอม ผมค่อนข้างถือเรื่องนี้ เมื่อทราบข่าวก็มีความรู้สึกสะท้อนใจ ผมคิดว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใครจะปิดบังไม่ได้ ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษ” พล.ต.อ.ปานศิริกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการหารือกันก่อนทำสำนวนส่งให้อัยการหรือไม่ เนื่องจากภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานมีความชัดเจนมาก แต่แจ้งข้อหาไม่ได้ พล.ต.อ.ปานศิริกล่าวว่า ทางคดีหัวหน้าพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และส่งสำนวนให้อัยการแล้ว หลังจากที่พนักงานอัยการตรวจสำนวนแล้วมีประเด็นให้สอบเพิ่มเติม จะให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปร่วมสอบเพิ่ม จะทำสำนวนให้ละเอียดทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม และการตรวจพิสูจน์ โดยเฉพาะการตรวจพิสูจน์ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.จะลงไปควบคุมด้วยตัวเอง เชื่อว่าทางอัยการจะตรวจสอบโดยละเอียด
เมื่อถามอีกว่า ระหว่างรออัยการพิจารณาสำนวน เราสามารถทำอะไรได้บ้าง พล.ต.อ.ปานศิริกล่าวว่า ในชั้นนี้ได้สั่งให้ ผบช.ภ.7 ตั้งชุดสอบสวนเรื่องนี้แล้ว
เมื่อถามว่า กรณีนั้นถือเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนหรือไม่ รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า สำหรับพนักงานสอบสวนของ ตร.ที่ร่วมสอบสวนในคดีนี้ ตนได้สั่งการให้ ผบช.ภ.7 ตรวจสอบข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนแล้ว ถ้าพบมีหลักฐานการทุจริต ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง จะดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัย หรือหากพบว่ามีการรวบรวมพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน จะดำเนินการทางวินัยและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสอบสวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสำนวนที่พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา 8 ราย ใน 3 คดี ประกอบด้วย 1. คดีอาญาที่ 259/55 สั่งฟ้องผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่ นายกิตติพล แซ่ลิ้ม นายระย้า คะนอง นายนิธิศ เกษมสงคราม และนายศานิต อำนวยเลขา 2. คดีอาญาที่ 260/55 สั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ นายสุชิน กลัดหลำ และนายอรรถวุตต์ ดียิ่ง และ3.คดีอาญาที่ 261/55 (มีพ.ต.ท.ธีรยุทธในสำนวนนี้) สั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 คน ได้แก่ นายสมชาย ปีดอก ละนายสายชล กลัดหลำ ผู้ต้องหาทั้งหมดกระทำผิดในข้อหาร่วมกันล่าและมีสัตว์ป่าคุ้มครอง (กบทูด) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, มีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไมได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุจำเป็นอันเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์, นำอาวุธปืนเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต, ใช้อาวุธปืนยิงสัตว์ป่าในระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น, นำสัตว์ออกไปหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์