ตร.ทางหลวงแถลงข่าวจับกุมพร้อมตรวจยึดของกลางกัญชาอัดแท่งจำนวน 520 กก.ที่คนร้ายลักลอบขนใส่รถกระบะมาจากอีสานเตรียมส่งลงใต้ แต่เจอด่านตำรวจตรวจสกัด คนร้ายขับรถฝ่าด่าน ตำรวจตามยิงสกัดจนยางแตก เผ่นหนีเข้าป่าข้างทาง ตรวจสอบพบใบยขับขี่ตกอยู่เตรียมออกหมายจับมาลงโทษตามกฎหมาย
วันนี้ (23.ม.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) พ.ต.ท.เจริญพงษ์ ขันติโล สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองบังคับการ 2 บก.ทล.พร้อมชุดจับกุม แถลงจับกุมรถกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 520 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท พร้อมของกลางรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำตาล ทะเบียน บจ-6382 นครพนม จับกุมได้ที่ถนนทางหลวงชนบทสายท่าแซะ-นิคมสหกรณ์ ต.ท่าแซะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร
พ.ต.ท.เจริญพงษ์กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากสายรับว่าจะมีการขนส่งยาเสพติดจากภาคอีสานลงใต้ จึงทำการตั้งด่านสกัดกั้น โดยใช้รถวิทยุหมายเลข 2409 ขับตรวจความเรียบร้อยและป้องกันเหตุในพื้นที่รับผิดชอบ จนกระทั่งเมื่อเวลา 07.00 น.พบรถยนต์ต้องสงสัยขับผ่านลักษณะท่าทางมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงขับรถวิทยุไปจอดหน้ารถยนต์คันดังกล่าวเพื่อขอเข้าตรวจค้น แต่ทันใดนั้นคนร้ายที่นั่งอยู่ฝั่งผู้โดยสารฝั่งซ้ายได้เปิดประตูกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทาง ส่วนคนร้ายอีกคนที่เป็นผู้ขับขี่ได้เร่งเครื่องหักหลบรถของทางเจ้าหน้าที่ที่จอดขวางเพื่อหลบหนีการจับกุม เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถติดตาม แต่คนร้ายไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดรถ เจ้าหน้าที่จึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดการหลบหนีที่ยางรถผู้ต้องสงสัย ทำให้ยางแตกเสียหลักพุ่งลงสวนปาล์มข้างทาง ใช้ระยะทางการหลบหนีกว่า 30 กม. เมื่อคนรายเห็นว่าไม่สามารถหลบหนีต่อได้จึงทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนีเข้าสวนปาล์ม เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังปิดล้อมนานว่า 2 ชม. แต่ไร้วี่แววคนร้ายรายนี้
จากการตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว ปรากฏว่าพบกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 3 ห่อ (120 แท่ง หรือ 120 กก.) อยู่บริเวณแค็บของรถ และพบกัญชาแห้งอัดแท่งอีกจำนวน 10 ห่อ (400 แท่ง หรือ 400 กก.) อยู่บริเวณหลังรถกระบะ รวมแล้วทั้งสิ้น 520 กก. และพบบัตรประจำตัวประชาชนและใบอนุญาตขับขี่รถยนต์รวม 2 ใบตกอยู่ ทราบชื่อนายธวัชชัย เมฆพันธ์ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 97 หมู่ 2 ต.นาราย อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง จากนั้นได้นำยาเสพติดส่งกองบัญชาการปรามปรามยาเสพติดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการสืบสวนและออกหมายจับนายธวัชชัย เมฆพันธ์ ส่วนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของหญิงสาวรายหนึ่งที่จังหวัดนครพนม ทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อไปทางจังหวัดนครพนมว่าเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่