ศาลอุทธรณ์ยืนพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 6.5 ล้านบาท นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย ถูกกองปราบปรามบุกบ้านยึดรถหรู “ปาเจโร” เลี่ยงภาษี ศาลชี้มีหลักฐานแน่นหนา เชื่อว่ารถดังกล่าวเป็นของจำเลย
ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ 30 ต.ค. เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำ อ.3595/2549 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย และอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เป็นจำเลย ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2496 มาตรา 27 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2549 ว่า เมื่อระหว่างเดือน ธ.ค. 2540-20 มี.ค. 2541 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้ซื้อรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร ทะเบียนป้ายแดง ก.-7999 จำนวน 1 คัน ราคา 904,111.62 บาท คิดเป็นอากรขาเข้า 723,289 บาท รวมราคาของพร้อมอากรเป็นเงิน 1,627,400.62 บาท โดยมีผู้ลักลอบนำรถยนต์คันดังกล่าวจากต่างประเทศเข้ามาในอาณาจักรไทย และจำเลยรับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และจำเลยได้ใช้แผ่นป้ายทะเบียน (ป้ายแดง) หมายเลข ก-7999 อันเป็นเอกสารราชการที่มีผู้ทำปลอมขึ้นซึ่งได้ติดแผ่นป้ายไว้กับรถยนต์คันดังกล่าว โดยจำเลยรู้ว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่มีผู้ทำปลอมขึ้นที่จะเกิดความเสียหายแก่กรมการขนส่งทางบก ผู้อื่นและประชาชน ต่อมาวันที่ 20 มี.ค. 2541 เวลากลางวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามยึดรถยนต์คันดังกล่าว พร้อมแผ่นป้ายทะเบียนแดงปลอม จำนวน 2 แผ่น แผ่นป้ายกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจำนวน 1 แผ่น ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เป็นความผิด ยึดไว้เป็นของกลางจากบ้านเลขที่ 329/42 ซ.วิลล่า ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 268 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 66 (พ.ศ. 2526) มาตรา 4 พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2553 เห็นว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ม.27 ทวิ ปอ.ม.268 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานรับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับ 6,509,602.25 บาท ฐานใช้เอกสารราชการปลอม จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้โอกาสโดยรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ให้จ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมร้อยละยี่สิบของเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล คืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประชุมตรวจสำนวนแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย จำเลยว่าได้กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ ซึ่งจำเลยอ้างว่าหัวคะแนนของจำเลยเป็นผู้นำรถมาเสนอขายให้เพราะต้องการนำเงินไปรักษาโรคไต แต่เมื่อจำเลยขอดูเอกสารเกี่ยวกับการเสียภาษีแล้วไม่มีจึงยังไม่ได้รับซื้อ โดยหัวคะแนนนำสติกเกอร์ชื่อจำเลยไปติดไว้ที่กระจกรถด้านหน้าแสดงการสนับสนุน และขอนำรถมาจอดทิ้งไว้ที่บ้านในวันที่ 19 ม.ค. 2541 ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าตรวจค้นบ้านจำเลยวันที่ 20 ม.ค. 2541 จำเลยเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองนั้น
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าตรวจค้นบ้านของจำเลยใน จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2541 เบิกความรับฟังได้ว่า ได้ตรวจค้นพบรถมิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร ป้ายแดง ก-7999 กทม. แต่ที่ด้านกระจกหน้าและด้านหลังรถไม่ติดแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษี ส่วนแผ่นป้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ลงหมายเลขทะเบียนรถคนละคัน โดยกระจกด้านหน้ายังมีสติกเกอร์ติดชื่อ นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล ส.ส.อุดรธานี ชื่อของจำเลยด้วย และเมื่อเจ้าหน้าที่เตรียมจะยึด ได้โทรศัพท์แจ้งจำเลยก่อน เนื่องจากขณะตรวจค้นจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้าน ขณะที่จำเลยร้องขอว่าอย่าเพิ่งยึดรถของกลางไปแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยอม จำเลยก็ได้ขอให้ลอกสติกเกอร์ชื่อจำเลยที่กระจกด้านหน้ารถออก และในการส่งรถของกลางไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน พบว่ามีการลบตัวเลขถังและแชสซีส์ ซึ่งรถคันดังกล่าวมีผู้แจ้งหายไว้ที่ประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ โจทก์ยังมีคนเฝ้าบ้านของจำเลย เบิกความว่าจำเลยซื้อรถดังกล่าวมาได้ประมาณ 3-4 เดือน และวันที่ 16 ม.ค. 2541 จำเลยยังให้คนขับรถดังกล่าวไปส่งที่สนามบินอุดรธานีด้วย และพยานอีกปากเบิกความว่า ระหว่างที่อยู่ในพื้นที่เห็นจำเลยใช้รถดังกล่าว ขณะที่โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทตัวแทนจำหน่ายและนำเข้ารถยนต์มิตซูบิชิ เบิกความด้วยว่า รถมิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร ที่นำเข้าเมื่อบวกกับภาษีราคาประมาณ 3 ล้านบาท รับฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้วว่า เมื่อซื้อรถนำเข้าจะต้องมีการชำระภาษีแต่จำเลยกลับซื้อรถที่ราคาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งทั้งที่ไม่ทราบชื่อผู้ขาย
ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รางวัลนำจับเจ้าหน้าที่ตำรวจร้อยละ 20 จากมูลค่ารถของกลาง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยได้เข้ามอบตัวเอง ไม่ใช่การนำจับ จึงเห็นควรแก้เป็นให้งดการจ่ายรางวัลนำจับ ส่วนโทษของจำเลยให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา