บก.ปอท.แถลงข่าวจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวบัลแกเรีย แฮกเกอร์ปลอมแปลงบัตรเอทีเอ็มใช้เบิกถอนเงินสดในเมืองไทยมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 72 ใบ เงินสด 107,000 บาท เงินสกุลยูโร 2,200 ยูโร คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กยี่ห้อเอเซอร์ สีแดง 1 เครื่อง
วันนี้ (18 ต.ค.) เวลา 11.00 น. ที่ บก.ปอท. พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท. พ.ต.อ.นิติธร จินตกานนท์ ผกก.กลุ่มงานสนับสนุนฯ บอ.ปอท. พ.ต.ท.สันติพัฒน์ พรหมะจุล รอง ผกก.กลุ่มงานสนับสนุนฯ บก.ปอท. แถลงการจับกุมผู้ต้องหาชาวบัลแกเรีย แฮกเกอร์ปลอมแปลงบัตรเอทีเอ็มใช้เบิกถอนเงินสดในประเทศไทยมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท ได้ผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายโรเซ่น จอร์จีฟ เอสตาทีฟ อายุ 41 ปี และนายจอร์กี้ คีรีโวฟ กูเซฟ อายุ 30 ปี สัญชาติบัลแกเรีย พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 72 ใบ เงินสด 107,000 บาท เงินสกุลยูโร 2,200 ยูโร คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คยี่ห้อเอเซอร์ สีแดง 1 เครื่อง สามารถจับกุมได้บริเวณชั้นใต้ดิน ศูนย์การค้าเพลินจิตเซ็นเตอร์ ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
พล.ต.ต.พิสิษฐ์เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ว่า ธนาคารในประเทศยุโรปขอความช่วยเหลือให้สืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ขโมยข้อมูลการเงินของลูกค้าธนาคารและนำมากดเงินในประเทศไทย จึงได้ทำการสืบสวนจนพบข้อมูลว่ามีการใช้บัตรเอทีเอ็มที่มีข้อมูลของชาวยุโรปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มบริเวณถนนสุขุมวิท ซอย 1-13 จึงเฝ้าติดตามกระทั่งพบผู้ต้องหาทั้ง 2 ซึ่งมีรูปพรรณตรงตามภาพถ่ายกำลังกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มบริเวณศูนย์การค้าเพลินจิตเซ็นเตอร์ จึงแสดงตัวเข้าจับกุม และขยายผลตรวจค้นห้องพักของผู้ต้องหาซึ่งเป็นโรงแรมอยู่ถนนสุขุมวิท ซอย 2 แขวงและเขตคลองเตย กทม. พบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง เครื่องบันทึกและอ่านข้อมูลในแถบแม่เหล็ก 1 เครื่อง บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 62 ใบ เงินสดไทย 77,000 บาท และเงินสดสกุลยูโร 1,700 ยูโร จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางทั้งหมดมาสอบสวน
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพว่า ได้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือวีซ่านักท่องเที่ยว โดยจะซื้อข้อมูลบัตรและวิธีการนำข้อมูลลงบนบัตรมาจากทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีข้อมูลการสอนให้ทำบัตรผ่านเว็บไซต์ยูทิวบ์ในราคายูสเซอร์ละ 20,000 บาท ส่วนใหญ่ข้อมูลลูกค้าผู้เสียหายจะเป็นประเทศฝรั่งเศส หลังจากตระเวนกดเงินได้แล้วก็จะรีบโอนกลับประเทศทันที
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบ ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, เข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน, มีเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงหรือสำหรับให้ได้ข้อมูลในการปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์, ร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน” และจะทำการสืบสวนขยายผลต่อไป
