แวดวงยุติธรรม
โดยผู้กองตั้ง
@ หดหู่ใจ! กับพฤติกรรมชั่วช้าของ นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ที่กระทำการมิบังควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 ก.ค. หากกรณีนี้หากสื่อเพิกเฉย คดีก็คงจะหายเข้ากลีบเฆมไปตามระเบียบ
เดชะบุญ...ที่ อ.มหาวิทยาลัยรำไพรรณณี เป็นตัวตั้งตี จี้ ตร.ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปี ถึงสิบห้าปี”
เครือข่ายนักวิชาการตั้งท่าเอาจริง พร้อมขู่ฟ้องและจัดชุมนุมบีบ ตร.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงทำให้คดี “ป้าเห็บหมา” ตกเป็นที่วิพากษ์ในสังคมโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง
สตช.เองก็รู้ร้อนรู้หนาวไม่กล้าต้านกระแสสังคม จึงอิดออดแจ้งข้อหา พร้อมโยนเผือกร้อนให้สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ไปประเมินผลการตรวจ “เคสคอนเฟอเรนซ์” ว่าเป็นคนวิกลจริตหรือไม่ พร้อมสั่งอายัดตัวห้ามหนีออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด
ฐิตินันท์ “ป้าเห็บหมา” หากประเมินผลแล้วเป็นคนวิกลจริตจริง แม้กฎหมายจะยกเว้นโทษให้ แต่หากออกมาเดินบนท้องถนน ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติสุข เพราะพฤติกรรมชั่วช้าที่บังอาจก้าวล่วงสถาบันย่อมตกเป็นจำเลยของสังคมไปตลอดชีวิต หรือหาก “ไม่บ้า” ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่รับโทษจองจำได้ ครบตามคำพิพากษา
@ เรียบร้อยโรงเรียน “ปูแดง” ไปแล้ว สำหรับว่าที่ ผบ.ตร.คนที่ 9 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว นรต.รุ่น 29 ที่จะก้าวขึ้นสู่ทำเนียบสูงสุดในกรมปทุมวัน ต่อจาก พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่เขยแม้ว ที่จะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ก็น่าเห็นใจ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ที่วืดเก้าอี้เพราะแรงกระเพื่อมการเมือง
เพราะมีการคาดหมายว่า “บิ๊กอู๋” ซึ่งมีอายุราชการยาวไปถึงปี 57 จะสนองนโยบายนโยบายรัฐบาลจนครอบเทอม เชื่อมต่อใบสั่ง “แม้ว” ที่จะส่ง “บิ๊กอ๊อบ” ชิมลางเก้าอี้รองนายกฯ และอาจเลยเถิดไปถึงว่าที่นายกคนที่ 29 นั่นแหละวงการสีกากี จึงหนีไม่พ้นถูกการเมืองครอบงำทุกยุคสมัย ก็น่าเห็นใจประชาชนตาดำๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ที่จะพึ่งต้นธารความยุติธรรมได้ตรงไหน
@คดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อน “น้องเบิร์ด” วัย 13 ปี ที่ถูกทุบท้ายทอยดับภายในคอนโดฯ แม้จะจบลงแบบที่คอซาดิสต์จะต้องตกตะลึง เพราะฆาตกรโหดไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นยายของตัวเองที่อ้างว่ารับไม่ได้กับพฤติกรรมสุดเกเร จึงต้องฆ่าทุบหัวหลานทั้งที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ พร้อมรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งเส้นผม ไม้พิฆาต ผ้านวมที่ใช้ห่อศพและกล้องวงจรปิด ....บั้นปลายชีวิต “ยายฆาตกร” ก็ต้องไปชดใช้กรรมในคุกอีกราย
“น้องเบิร์ด” กลายเป็นคดีอุทาหรณ์ ที่สามารถสะท้อนชีวิตคนในสังคมเมืองใหญ่ว่า มีทั้งเครียดและโหดร้ายอยู่ในตัวของมันเองได้เป็นอย่างดี แต่คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “แม่น้องเบิร์ด” ที่ลูกชายต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของแม่.... ก็สุดแต่เวรแต่กรรมเพราะการระงับอารมณ์ชั่ววูบบกพร่อง!!!
@ ขอปรบมือให้ทีมสืบสวนสอบสวน บก.น.2 ที่สามารถจับกุมแก็งไม้เบสบอลที่ไล่ตีชาวบ้านเพื่อชิงทรัพย์ในพื้ที่ สน.สุทธิสาร และพหลโยธินได้สำเร็จ แต่น่าอนาถใจเมื่อทั้งแก็ง 4 คน มีอายุเพียงแค่ 17-18 ปี พร้อมให้การรับสารภาพว่าก่อคดีมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง โดยตะเวนก่อเหตุในพื้นที่เปลี่ยวและยามวิกาล
ล่าสุด ตำรวจเมืองบุรีรัมย์รวบ “มอส” 1 ใน 4 ผู้ต้องหาร่วมกันใช้ไม้เบสบอลตีทำร้ายปล้นทรัพย์ 2 นักร้องดังค่าย “เคพีเอ็น” ได้อีกรายหลังแอบมากบดาน “บวชเณร” หนีคดีอยู่ที่ “วัดเขาหลุบ” อ.เฉลิมพระเกียรติฯ บุรีรัมย์ พร้อมจับสึก รับสารภาพเป็นคนลงมือใช้ไม้เบสบอลหวดผู้เสียหาย และเคยใช้ไม้เบสบอลร่วมกับเพื่อนก่อเหตุปล้นทรัพย์มาแล้ว 3 ครั้ง
@ ขอกัดติดกับคดีฆ่าปาดคอแท็กซี่ ในพื้นที่ สน.บางชัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 ผ่านมาแล้วเกือบ 2 สัปดาห์ แต่ยังจับคนร้ายที่ลวงโชเฟอร์เข้าไปในหมู่บ้านไม่ได้ ทั้งที่กล้องวงจรปิดหน้าป้อมมยามสามารถจับภาพไว้ได้
ท่านผู้การ บก.น.4 รวมทั้งทีมสืบสวนสอบสวนจะว่าอย่างไร จะปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายฟรีหรือ! แล้วอย่างนี้จะสร้างความเชื่อมั่นในชีวิตและทรัพย์สินของคนเมืองได้ไหมเนี่ย..........
@ปิดท้ายกันที่คดีจับแท็กซี่แพะ “ชรินทร์ ช้ำเกตุ” อายุ 35 ปี อาชีพเจ้าหน้าที่ฝ่าย คอมพิวเตอร์ของโรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท แต่หันมารับจ็อบด้วยการขับแท็กซี่เป็นอาชีพเสริม แต่ดวงซวยเพราะถูก ตร.สน.ลาดกระบังจับฐานจี้ชิงทรัพย์ เพราะผู้เสียหายชี้ตัวว่าใช่คนร้าย แถมถูกจับเข้ายัดซังเตเป็นเวลา 9 วัน
ก่อนที่ความจริงจะปรากฏเมื่อแท็กซี่โจรตัวจริง ยังคงก่อคดีไม่เว้นแต่ะวัน จนตร.สามารถกับกุมตัวจริงได้ และรับสารภาพเป็นผู้ก่อเหตุ สุดท้ายแม้บช.น.จะยอมจ่ายเงินให้ 20,000 บาท เพื่อแลกกับการถูกฟ้องดำเนินนดดี ก็ขอภาวนาให้กระบวนการสอบสวนในชั้นต้น ต้องเคารพในสิทธิส่วนบุคคลให้มากเป็นพิเศษ เฉกเช่นกระบวนชั้นศาลที่ให้สิทธิจำเลยว่าหากยังไม่มีพิพากษาถือว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์และสามารถต่อสู้คดีได้ถึง 3 ศาล