“มาร์ค” เบิกความคดีฟ้อง “จตุพร” กล่าวหาสั่งฆ่าเสื้อแดง ระบุเป็นคลิปตัดต่อ เชื่อใช้ปลุกระดมคนเสื้อแดงให้เกลียดชังโจทก์
ที่ห้องพิจารณาคดี 801 วันนี้ (6 ก.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ในคดี หมายเลขดำ อ.1008/2553 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และอดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 332
กรณีเมื่อวันที่ 29 ม.ค. - 15 ก.พ. 2553 นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยได้ปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนที่รับชมผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิลแชนแนล ใส่ความว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งฆ่าประชาชน และหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เบิกความว่า จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีของคนเสื้อแดง อ้างประชาชนยังคาใจคลิปการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อเหตุการณ์เดือนเมษายน 2552 โดยกล่าวหาว่าตนเองได้ประชุมร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อวางแผนสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ล้อมปราบคนเสื้อแดง และยังปราศรัยอีกว่าโจทก์มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต จิตใจทำด้วยอะไรจึงสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง โจทก์ไม่เคยมีการประชุมเพื่อล้อมปราบคนเสื้อแดง และไม่เคยสร้างสถานการณ์ใดๆ ที่นำไปสู่ความวุ่นวาย มีเพียงพวกจำเลยและกลุ่มคนเสื้อแดงที่สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย การปราศรัยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และการนำคลิปที่อ้างว่าโจทก์สั่งฆ่าคนเสื้อแดงไปเปิดให้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงฟังนั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พิสูจน์และยืนยันแล้วว่าเป็นคลิปเสียงที่มีการตัดต่อ เชื่อว่าเพื่อใช้ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงเกลียดชังโจทก์ ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยอีกคดีและศาลอาญาได้มีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้ว
นอกจากนี้ จำเลยยังปราศรัยในการชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า โจทก์หลบหนีการเกณฑ์ทหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากโจทก์ได้ผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเพื่อไปเรียนหนังสือยังต่างประเทศ และหลังจบการศึกษาก็ได้เดินทางมารับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ติดยศร้อยตรี โดยได้เข้ารับการฝึกทหารเหมือนนักเรียนนายร้อยทุกประการ และไม่ได้ใช้เอกสารเท็จในการสมัครรับราชการทหาร เนื่องจากที่ผ่านมาทางโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ และกระทรวงกลาโหม ไม่เคยมีการเรียกสอบสวนหรือดำเนินคดีในกรณีดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการให้สัมภาษณ์รับรองว่าเอกสารจริง และไม่มีเหตุผลที่จะปลอมแปลง
เอกสาร